Economics

‘หอการค้าไทย’ หวั่นโควิดระลอก 3 ซัดเศรษฐกิจร่วงเหลือ 1.6%

“ม.หอการค้าไทย” ชี้โควิดระลอก 3 กระทบหนัก คาดเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจราว 2 แสนล้านบาท/เดือน หวั่นฉุดจีดีพีร่วงแตะ 1.6%

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า การอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2564 จะโตได้ 1.6% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 2.8% เนื่องจากจากผลกระทบการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ซึ่งทำให้มียอดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และรัฐบาลได้ยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเหลือเพียง 2.8 ล้านคนเท่านั้น จากเดิมคาด 4 ล้านคน

ทั้งนี้ อยู่ภายใต้สมมติฐานว่า รัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไว้ได้ในช่วง 2 เดือน คิดเป็นมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจราว 2 แสนล้านบาท/เดือน ส่งผลให้เศรษฐกิจย่อลงราว 1.2% จากเดิม 2.8% มาเหลืออยู่ที่ 1.6%

อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่า โดยทั้งปีคาดว่า จะเฉลี่ยอยู่ที่ 30.80 บาท/ดอลลาร์ จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย ซึ่งประเมินว่าการส่งออกไทยปีนี้ มีโอกาสขยายตัวได้ 4.7% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ 3.5%

ธนวรรธน์22464

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ประเมินว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบที่ 3 นี้ มีผลทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการของทั้งประเทศ หายไปราว 1 แสนล้านบาท/เดือน แยกเป็น โซนสีแดง – พื้นที่ควบคุมสูงสุด (18 จังหวัด) หายไปราว 8.4 หมื่นล้านบาท/เดือน และโซนสีส้ม – พื้นที่ควบคุม (59 จังหวัด) หายไปราว 1.57 หมื่นล้านบาท/เดือน และมีผลให้ความต้องการใช้แรงงานในทุกภาคทั่วประเทศ ลดลงราว 1.48 แสนคน/เดือน

อย่างไรก็ดี ม.หอการค้าไทย จะยังไม่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยจากเดิมที่คาดไว้ 2.8% ในปีนี้ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อชดเชยผลกระทบจากโควิดราว 2-3 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานที่จะโตได้ 2.5 – 3% อยู่แล้ว แต่หากรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไร เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสจะย่อลงเหลือ 1.6%

สำหรับแนวทางที่รัฐบาลจะเพิ่มการเติบโตของ GDP ในปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 2.8% สามารถทำได้จากการเพิ่มมูลค่าการอุปโภคบริโภคของภาครัฐ โดยจัดทำโครงการที่มุ่งเน้นการจ้างงานชั่วคราวโดยหน่วยงานภาครัฐ และโครงการที่เน้นการฟื้นการจ้างงานประจำในธุรกิจเอกชน, การเพิ่มมูลค่าการลงทุนของภาครัฐ โดยจัดทำโครงการลงทุนขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดผลกระทบภัยแล้ง, การเพิ่มการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ด้วยการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ผ่านโครงการช็อปช่วยชาติพลัส โครงการบ้านหลังแรกปี 2564 โครงการรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก หรือโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ตลอดจนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ เป็นต้น

การเพิ่มมูลค่าการลงทุนของภาคเอกชน เช่น เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุนที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ไปแล้ว ให้เร่งให้เกิดการลงทุนจริงเร็วขึ้น, การเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ โดยเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อเร่งส่งออกสินค้าเกษตรในรูปแบบ G to G ให้มากขึ้น ปรับแผนเจาะตลาดส่งออกเป็นเชิงรุก เน้นตลาดที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากโควิด และสุดท้ายคือการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งต้องเร่งกระบวนการกระจายวัคซีนในประเทศให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าประเทศไทย เป็นต้น

นายธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า ในขณะที่ภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ยังไม่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศได้ในช่วงนี้ จึงอยากเสนอให้ภาครัฐดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ เพื่อเป็นแรงหนุนให้กับภาคการส่งออกของไทยได้ช่วยชดเชยเศรษฐกิจของประเทศ ที่รายได้หดหายไปจากการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิดระบาด

ขณะเดียวกัน สนับสนุนการใช้มาตรการ “ภูเก็ต Sandbox” ซึ่งจะเป็นสัญญาณในการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจากภูมิประเทศของภูเก็ตที่เป็นเกาะ ทำให้มีความสามารถในการควบคุมการระบาดได้ง่ายกว่า ประกอบกับแผนการฉีดวัคซีนต้านโควิดให้แก่ประชาชนในพื้นที่ภูเก็ตให้ได้อย่างน้อย 50% ในเดือนมิถุนายนนี้ ก็จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาไทย โดยเฉพาะในภูเก็ตได้เป็นอย่างดี ดังเช่นสถานการณ์การท่องเที่ยวของเกาะมัลดีฟ ที่ขณะนี้การท่องเที่ยวกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo