Economics

คาดส่งออกข้าวปีนี้เพิ่มขึ้น 1.3-4.8% หลังยอดปี 63 ต่ำสุดในรอบ 20 ปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินภาพรวมการส่งออกข้าวของไทยในปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 5.8-6.0 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.3-4.8% จากปี 2563 ที่มียอดส่งออกอยู่ที่ 5.7 ล้านตัน ลดลง 24.5% ต่ำสุดในรอบ 20 ปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2564 ภาพการส่งออกข้าวของไทยน่าจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ที่ราว 5.8 – 6.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 1.3 – 4.8% (YoY) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกที่ 1.7% โดยมีตัวผลักดันจากข้าวหอมมะลิที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกามีการเติบโตได้เป็นอย่างดีอยู่ที่ 0.54 – 0.56 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 10.7 – 14.8% (YoY) จนสามารถผลักดันให้การส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปตลาดโลกอยู่ที่ 1.3 – 1.35 ล้านตัน หรือเติบโตได้ถึง 9.3 – 13.5%

ขณะที่ตลาดข้าวประเภทอื่น (ข้าวขาว ข้าวนึ่ง) คาดว่า อาจทำได้เพียงมีการเติบโตเท่ากับความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกเท่านั้น ไทยจึงอาจจะยังไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวประเภทอื่นได้ ดังนั้น ข้าวหอมมะลิ จึงน่าจะเป็นตลาดที่ไทยทำได้ดีที่สุด หรือมีความสามารถในการแข่งขันส่งออกมากที่สุด และเป็นตลาดพรีเมียม ที่ไม่ได้แข่งขันด้านราคา สุดท้ายจะทำให้ไทยยังคงประคองตัวเลขการส่งออกข้าวไว้ได้มากกว่าปีก่อน และสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวในโลกไว้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราว 12.8%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ทั้งนี้ แม้การส่งออกข้าวของไทยในปี 2564 จะยังสามารถประคองตัวได้ ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยบวก คือ ปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นจากการเข้าสู่วงรอบของลานีญา ทำให้มีปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น แต่คงต้องยอมรับว่า การส่งออกข้าวไทยจะยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน

แม้ปัจจัยลบดังกล่าวจะให้ภาพที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ทั้งในเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ให้ภาพคลี่คลายขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ที่น่าจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าปีก่อน นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ทำให้การส่งออกข้าวไทยยังเติบโตได้ในกรอบที่จำกัด

ส่วนยอดการส่งออกข้าวของไทยในปี 2563 ที่ปริมาณ 5.7 ล้านตัน หรือลดลง 24.5% (YoY) ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่ภาครัฐตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน และยังนับเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี (ตั้งแต่มีการบันทึกสถิติการส่งออกข้าวไทยไว้) โดยไทยหล่นมาเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ของโลก รองจากอินเดียที่ 14.6 ล้านตัน และเวียดนามที่ 6.2 ล้านตัน ตามลำดับ

สำหรับปัญหาหลักที่รุมเร้าข้าวไทยคือ พันธุ์ข้าวไทยที่ไม่หลากหลายและเริ่มไม่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลก รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า ภัยแล้ง ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ล้วนเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้ยอดการส่งออกข้าวไทยในปี 2563 ดำดิ่งเป็นอย่างมาก

หากพิจารณาในรายละเอียดประเภทข้าวที่ส่งออกของไทย จะพบว่า ข้าวหอมมะลิเป็นเพียงข้าวประเภทเดียวในปี 2563 ที่มีการส่งออกเป็นบวกที่ 7.7% (YoY) ขณะที่ข้าวประเภทอื่นมีการส่งออกที่เป็นลบอย่างข้าวขาว (-32.3% YoY) และข้าวนึ่ง (-35.4% YoY) สะท้อนถึงศักยภาพของข้าวหอมมะลิที่แม้จะเผชิญปัจจัยลบรุมเร้า แต่ก็ยังสามารถประคองตัวอยู่ในแดนบวกได้

สำหรับในปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกข้าวของไทยในปี 2564 อาจยังประคองตัวได้ในกรอบจำกัดอยู่ที่ราว 5.8 – 6.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 1.3 – 4.8% (YoY) ซึ่งแม้การส่งออกข้าวไทยจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวก คือ ปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นจากการเข้าสู่วงรอบของลานีญา ทำให้มีปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ผนวกกับเกษตรกรมีแรงจูงใจในการปลูกข้าวต่อไปจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ

แต่คงต้องยอมรับว่า การส่งออกข้าวไทย จะยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ปัจจัยลบดังกล่าวจะให้ภาพที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ทั้งในเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ให้ภาพคลี่คลายขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่น่าจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าปีก่อน นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา

shutterstock 346909322

สุดท้าย จะทำให้ภาพรวมการส่งออกข้าวของไทยในปีนี้ น่าจะสามารถประคองการเติบโตได้แต่คงอยู่ในกรอบที่จำกัด ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวในโลก ไว้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราว 12.8% นอกจากนี้ ยังมองว่า จากนี้ไปไทยน่าจะไม่สามารถกลับไปเป็น “แชมป์การส่งออกข้าวโลก” ได้อีกแล้วดังเช่นในอดีต และที่ไทยเคยส่งออกข้าวเฉลี่ยได้สูงถึงราว 9 ล้านตันต่อปี

เนื่องจากการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น รวมถึงราคาข้าวไทยที่ยังสูงกว่าคู่แข่งโดยเปรียบเทียบ ดังนั้น ไทยควรมุ่งไปที่การผลิตข้าวที่เน้นการแข่งขันในเชิงมูลค่ามากกว่าเชิงปริมาณ (ที่เน้นไปแค่เพียงการจัดอันดับของผู้ส่งออกข้าวในโลกเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงด้านคุณภาพข้าว)

ทำให้ความหวังของการส่งออกข้าวไทยในระยะข้างหน้า คงอยู่ที่การให้ความสำคัญกับตัวชูโรงอย่าง “ข้าวหอมมะลิ” ที่ควรเร่งเพิ่มการผลิตเพื่อใช้ในการส่งออกและบริโภคในประเทศ ขณะที่ในด้านราคาก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าข้าวประเภทอื่น จึงนับว่า “ข้าวหอมมะลิ” น่าจะมีโอกาสและศักยภาพมากที่สุดในพันธุ์ข้าวที่ไทยมี ณ ขณะนี้

ขณะที่ในมุมของราคาส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จะเห็นว่า แม้ราคาข้าวหอมมะลิของไทยจะสูงกว่าคู่แข่ง แต่ด้วยคุณภาพข้าวที่ดี ถูกปากผู้บริโภค ทำให้ข้าวหอมมะลิ เป็นตลาดข้าวที่ไม่ได้แข่งขันด้านราคาเป็นหลัก (เน้นคุณภาพ) อย่างไรก็ดี พบว่า ราคาข้าวหอมมะลิไทยมีทิศทางที่ปรับตัวลดลง และทำให้มีช่วงห่างของราคาเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่แคบลง ทำให้ไทยน่าจะมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้ดีขึ้น

ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างอินเดียก็มีคุณภาพข้าวที่ยังเทียบชั้นกับไทยไม่ได้ และแม้ว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามจะมีราคาข้าวถูกกว่าไทย แต่ด้วยปริมาณการส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐอเมริกาที่ยังอยู่ในสัดส่วนน้อย และคุณภาพที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก จึงคาดว่า ไทยจะยังไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่งมากนัก และน่าจะยังสามารถครองตลาดข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกาได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในปีนี้

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo