Economics

จับตา! ปี 64 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนฟื้นตัว แต่ยังแข่งขันรุนแรง

ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ปี 2564 น่าจะกลับมาขยายตัวราว 1 – 4% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่หดตัว 14.1% ภายใต้สมมติฐานที่ไม่มีการระบาดรุนแรงของ “โควิด” ซ้ำภายในประเทศ

ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ในปี 2564 ภายใต้สมมติฐานที่ไม่มีการระบาดรุนแรงของ “โควิด” ซ้ำภายในประเทศ และภาครัฐสามารถทยอยผ่อนปรนให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไม่ได้บานปลายหรือรุนแรง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ปี 2564 น่าจะกลับมาขยายตัวราว 1 – 4% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่หดตัว 14.1% ขณะที่กำไรสุทธิน่าจะกลับมาขยายตัว 15 – 20% YoY แต่การฟื้นตัวดังกล่าวคาดว่าจะยังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2562

โดยมีปัจจัยด้าน “โควิด” ที่ยังคงกดดันการทำรายได้และกำไรของโรงพยาบาลเอกชนต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ต่างชาติในสัดส่วนที่สูง ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ชาวไทยกลุ่มประกันสังคมและข้าราชการ น่าจะยังพอไปได้หรือได้รับผลกระทบน้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชนใน Segment อื่นๆ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การแข่งขันของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน จะยากและรุนแรงขึ้น จากผู้ประกอบการที่มีอยู่จำนวนมากในตลาด ขณะที่คนไข้ที่มีศักยภาพกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะคนไข้กลุ่ม Medical Tourism ที่น่าจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์โดยการแย่งชิงตลาดคนไข้ในประเทศ ที่ได้รับแรงกดดันจากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเช่นกัน ส่งผลให้การรักษาฐานลูกค้าเดิม หรือการมองหาตลาดลูกค้าใหม่ๆ มาทดแทน เช่น กลุ่มลูกค้าประกันสุขภาพเอกชน อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน

ดังนั้น ระยะสั้น ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในแต่ละ Segment อาจจะต้องมีการปรับตัวเพื่อประคองการเติบโตของธุรกิจ โดยการควบคุมค่ารักษาพยาบาลให้คนไข้สามารถเข้าถึงได้ การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับคนไข้ต่างชาติที่เริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทย (กลุ่ม Special Tourism Visa: STV และกลุ่มอื่นๆ ที่รัฐอาจจะพิจารณาเพิ่ม)

ขณะที่ระยะกลางถึงยาว ควรนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการต้นทุนและอำนวยความสะดวก รวมถึงการมองหารายได้ใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งธุรกิจในกลุ่ม Non-hospital เป็นกลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจและมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น เช่น ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น

ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา “ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน” เป็นหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 สะท้อนได้จาก รายได้และกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของโรงพยาบาลเอกชน (ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ) หดตัวอยู่ที่ 14.2% และ 54.8% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

โดยโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้กลุ่ม Medical Tourism ในสัดส่วนที่สูง น่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก จากจำนวน Medical Tourism ที่คาดว่าจะหายไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 85 ของจำนวน Medical Tourism ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ด้วยกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวและการแข่งขันของตลาดในประเทศที่รุนแรงขึ้น ทำให้โรงพยาบาลเอกชนที่เจาะกลุ่มคนไข้เงินสดเป็นหลักได้รับผลกระทบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลเอกชนที่เจาะกลุ่มลูกค้าประกันสุขภาพของภาครัฐ เช่น กลุ่มประกันสังคม ข้าราชการ น่าจะประคับประคองรายได้ หรือได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จับกลุ่มลูกค้าใน Segment อื่นๆ

สำหรับทิศทางของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ในปี 2564 ภายใต้สมมติฐานที่ไม่มีการระบาดรุนแรงของโควิด-19 ซ้ำภายในประเทศ และภาครัฐสามารถทยอยผ่อนปรนให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไม่ได้บานปลายหรือรุนแรง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รายได้ธุรกิจรพ.เอกชน และกำไรสุทธิของธุรกิจ (ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ) น่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2564 ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า โดยมีรายได้ขยายตัวอยู่ที่ 1-4% และกำไรสุทธิโต 15-20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวดังกล่าวคาดว่าจะยังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2562

แม้ว่าผลประกอบการของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในปี 2564 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ที่อาจจะไม่แน่นอนในอนาคตโดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อธุรกิจ และคาดว่าผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนน่าจะเผชิญปัจจัยท้าทายที่ส่งผลต่อรายได้และการทำกำไรในระยะข้างหน้า โดยสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ต่างชาติในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Tourism น่าจะได้รับผลกระทบและมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มโรงพยาบาลเอกชนใน Segment อื่นๆ เนื่องจากตลาดคนไข้ต่างประเทศน่าจะยังไม่สามารถกลับเข้ามาใช้บริการได้เป็นปกติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไข้สหรัฐฯ ยุโรป และเมียนมา ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศยังไม่คลี่คลาย

ขณะที่ จำนวนคนไข้ชาวต่างชาติที่กลับมาน่าจะเป็นกลุ่ม EXPAT ที่พักอาศัยอยู่ในประเทศ และกลุ่ม Medical Tourism บางประเทศ เช่น ตะวันออกกลาง และจีน แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขของการกักตัวอย่างเข้มงวด ซึ่งคาดว่าจะกลับมาได้บ้างในกรอบที่ค่อนข้างจำกัดในช่วงครึ่งปีหลัง

ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน
ภาพจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในปี 2564 คนไข้ชาวต่างชาติที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในไทยอาจมีประมาณ 1.57 – 1.77 ล้านคน (ครั้ง) เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีจำนวนราว 1.45 ล้านคน (ครั้ง) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติที่มีจำนวนคนไข้ต่างชาติเข้ามารับการรักษาพยาบาลอยู่ที่ราว 3.75 ล้านครั้งในปี 2562

สำหรับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ไทยเป็นหลัก น่าจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อการเปิดประเทศเพื่อรองรับตลาดคนไข้ต่างชาติน่าจะยังไม่กลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มที่เน้นเจาะตลาดคนไข้ต่างชาติ จะมีการปรับกลยุทธ์และหันมาแย่งชิงตลาดคนไข้ในประเทศกันมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ ด้วยกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังอ่อนแรง จำนวนคนตกงานสะสมที่อาจยังสูง ทำให้การเจาะตลาดคนไข้ชาวไทยในภาวะดังกล่าวก็มีความยากลำบากเช่นกัน เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มคนไข้เงินสด ซึ่งคนไข้กลุ่มนี้ที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองอาจจะหันไปใช้บริการในโรงพยาบาลที่มีค่ารักษาพยาบาลถูกกว่า หรือเลือกใช้สิทธิการรักษาพยาบาลของภาครัฐ คลินิกทั่วไป หรือแม้แต่การหาซื้อยามารับประทานเอง

ส่งผลให้การแข่งขันเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดคนไข้ไทยน่าจะรุนแรงมากขึ้นในปี 2564อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่เจาะกลุ่มลูกค้าประกันสุขภาพของภาครัฐ เช่น ประกันสังคม ข้าราชการ หรือมีสัดส่วนของลูกค้าประกันสุขภาพในสัดส่วนที่สูง ก็น่าจะประคับประคองรายได้ หรือได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลที่จับกลุ่มลูกค้า Segment อื่นๆ

ปัจจัยทางด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ชะลอตัว และความกังวลต่อการระบาดของโควิด-19 รวมถึงต้นทุนการดำเนินการของธุรกิจที่ยังสูง ยังคงกดดันการทำรายได้และกำไรของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในปี 2564 ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้เล่นในตลาดโรงพยาบาลเอกชนมีจำนวนมากรายและเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่ ขณะที่คนไข้ที่มีศักยภาพกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นนัก

จากปัจจัยกดดันทั้งในเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภค และความกังวลต่อการระบาดของโควิด-19 นั้น ทำให้การรักษาฐานลูกค้าเดิม หรือการขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าไทยหรือต่างชาติ เพื่อทำรายได้ให้กับธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนอาจจะค่อนข้างลำบาก อีกทั้งยังเผชิญกับปัจจัยท้าทายอื่นๆ รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่คาดว่ายังคงสูงต่อเนื่องเพื่อรักษาคุณภาพของการให้บริการ ประกอบกับพฤติกรรมของคนไข้ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้คนไข้มีตัวเลือกในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่หลากหลายขึ้น

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการควรมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ โดยสิ่งที่สามารถปรับตัวได้เลยในระยะสั้น คือ ผู้ประกอบการควรมีการควบคุมค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้คนไข้สามารถเข้าถึงได้ ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว เช่น ลดราคาค่าห้อง จัดโปรแกรมค่ารักษาพยาบาลในราคาพิเศษ การชูจุดขายความเฉพาะทางของโรคในแต่ละกลุ่มลูกค้า หรือแม้แต่การผ่อนชำระค่ารักษาพยาบาลที่ยาวนานขึ้น

รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับคนไข้ต่างชาติที่เริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทย (กลุ่ม Special Tourism Visa: STV และกลุ่มอื่นๆ ที่ภาครัฐอาจจะพิจารณาเพิ่มเติมในอนาคต) เช่น การเตรียมเอกสารทางการแพทย์ให้กับคนไข้ การจัดเตรียมห้องพักสำหรับผู้ติดตามผู้ป่วย เป็นต้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK