Economics

เปิดกลยุทธ์ลงทุนทองคำ ฟันธงระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แม้ระยะสั้นผันผวน

ราคาทองคำ : วายแอลจี คอนเฟิร์ม! แม้สัปดาห์ก่อนทองลงโหดแต่สามารถดีดกลับมายืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ ส่งผลเทรนด์ระยะยาว 1-2 ปี ยังเป็นขาขึ้น ชี้มีโอกาสแตะ 1,900 ดอลลาร์

วายแอลจี ระบุ เผยปัจจัยหนุนหลักมาจากสหรัฐทำ QE ต่อเนื่อง ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง เพิ่มหนุนตลาดทองคำ เปิดสถิติปี 2554 ช่วงทำ QE ส่งผลทองขึ้นสูงแตะ 1,920 ดอลลาร์ และปรับลดลงในปี 2556 เหตุเลิกทำ QE แนะนักลงทุน ดูปัจจัยแวดล้อม หากตัวเลขการว่างงานสูง รัฐบาลทั่วโลกยังต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินทำ QE แต่หากตัวเลขการจ้างงานเริ่มดี เป็นสัญญาณหยุดทำ QE และขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลเงินไหลออกจากทอง ส่วนปีนี้แม้ล่าสุดทองเริ่มลดลงแต่หากเทียบจากต้นปีราคายังถือว่าปรับขึ้นมาแล้วเกือบ 20%

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่า ราคาทองคำ ที่ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่า ราคาทองคำ จะเป็นขาลงแล้วหรือไม่

ราคาทองคำ
ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ทั้งนี้ จากการปรับตัวลดลงล่าสุด จะเห็นว่า หากราคาทองคำยังไม่เป็นขาลง เพราะหากจะเป็นขาลง จะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เมื่อราคาทองคำปรับลดลงไปที่ 1,764 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พบแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาสามารถยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

ส่งผลให้ แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว ยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้น จะยังแกว่งตัวผันผวน โดยคาดว่า ภายในปีนี้ยังมีโอกาสได้เห็นราคาไปแตะ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ช่วงนี้ราคาทองคำตอนนี้ จะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้หากดูเทียบกับราคาต้นปีที่เปิดที่ 1,517 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ยังถือว่า ราคาปรับขึ้นมาเกือบ 20%

ปัจจัยที่ยังมองว่า ราคาทองคำในระยะยาว 1 – 2 ปี ยังคงเป็นขาขึ้นนั้น มาจากปัจจัยหลัก ที่จะมีเงินไหลเข้าทองคำจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่จะเข้ามาอย่างมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้ แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1 – 2 ปี

ดังนั้น แต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงิน และการคลัง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งเงินอัดฉีดเหล่านี้ ทุกครั้งจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดทองคำ ดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่มีการทำ QE พบว่า ราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับลดลง แต่ปีที่ลดลงชัดเจน คือ ปี 2556 ซึ่งคือปีที่เลิกทำ QE ทำให้ราคาทองคำปรับลดลงไปที่ระดับต่ำสุดที่ 1,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะหากสหรัฐเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีนโยบายเริ่มหยุดทำ QE เริ่มดึงเงินออกจากระบบ ราคาทองคำก็จะปรับลดลงไป

อย่างไรก็ดี หากมองในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับลดลงนั้น ก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านั้น เพราะเหมืองทองคำ จะมีต้นทุนหน้าเหมือง อยู่ที่ระดับดังกล่าวโดยประมาณ

ทั้งนี้ การอัดฉีดเงินของแต่ละประเทศนั้น จะขึ้นกับผลประกอบการภาคเอกชน ตัวเลขเงินเฟ้อ และ ตัวเลขการว่างงาน เพราะถ้าออกมาไม่ดี รัฐบาลก็ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อให้ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียน และเกิดการลงทุน  เงินเหล่านี้ ก็จะไหลไปสู่สินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมทั้งทองคำ

ส่วนสัญญาณที่จะเลิกทำ QE คือการดึงเงินออกจากระบบ หรือ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็คือ ดูตัวเลขการจ้างงาน และเงินเฟ้อ หากตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำต้องระมัดระวังสัญญาณเหล่านี้ เพราะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวและนักลงทุนจะมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นและเงินจะเริ่มไหลออกจากตลาดทองคำ

อย่างไรก็ดี ปีนี้แม้จะมีโควิด -19 ทำให้เกิดวิกฤตทั่วโลก แต่ก็เป็นปีแห่งโอกาสเช่นกัน เพราะปีนี้ นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เพราะไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือ ขาลง ของราคาสินทรัพย์ต่างๆ เราก็สามารถเข้าไปทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้

นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนทองคำในตลาด TFEX ผ่านการลงทุนโกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์ส(Gold Online Futures) ที่เป็นการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุน ไม่ต้องมีความกังวลด้านความเสี่ยง จากการผันผวนของค่าเงินบาท

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนทองคำในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Gold Online Futures และ Gold Futures ) เพื่อเป็นอีกทางเลือกการลงทุน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK