Economics

‘ศุภชัย’ เปิด 3 ปัจจัยน่าเป็นห่วงของไทย จับตาหนี้ครัวเรือนพุ่ง!

ศุภชัย พานิชภักดิ์ เปิด 3 ปัจจัยน่าเป็นห่วงของไทย 3 เรื่อง พร้อมสั่งจับตา “ภาระหนี้ครัวเรือน” ของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แนะเปิดประเทศต้องถูกจังหวะ ต้องไม่ช้าหรือเร็วเกินไป

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการการประชุม สหประชาชาติว่า ด้วยการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า ห่วงประเทศไทย 3 เรื่อง คือ การเปิดประเทศจะต้องไม่ช้าหรือเร็วเกินไป โดยอยากจะให้รัฐบาลดำเนินการและทดลองไปเรื่อย ๆ แต่อย่าเปิดเร็ว การเปิดควรเน้นที่ประเทศไทยอ่อนแอมาก เช่น ด้านการลงทุน

โดยอาจพิจารณาเปิดประเทศให้กับกลุ่มนักธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนบวกกับการมีมาตรการรักษาสุขอนามัยจะต้องเข้มข้นมากขึ้น ส่วนการว่างงานไม่มากอย่างที่เคยวิตกกันว่าจะตกงานหลายล้านคน ขณะนี้ตัวเลขผู้ว่างงานอยู่ระดับหลายแสนคนและเริ่มที่จะมากขึ้นแล้ว ดังนั้น โครงการที่ช่วยให้เกิดการจ้างงานต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้น

ศุภชัย

อันดับ 2 คือ เสถียรภาพทางการเมือง ขณะนี้ต่างประเทศนำเรื่องการเมืองของไทย ไปพูดเกินกว่าสถานการณ์จริง ซึ่งที่จริงไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น ประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงมีความขัดแย้ง และไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่มีความขัดแย้ง

อันดับ 3 คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19 ปัญหานี้จะต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ที่จะต้องแก้ไข เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ซึ่งประเทศไทย ไม่ได้แก้ยาก เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เพราะว่ารัฐบาล มีการกระจายอำนาจการปกครอง แต่ประสิทธิภาพ ต้องการปรับให้ดีขึ้นกว่านี้ ส่วนปัญหาคอรัปชั่นของไทยไม่เป็นเรื่องที่ห่วงที่สุด เพราะประเทศไทยมีการปรับปรุงและดีขึ้นในทุก ๆ ปี

สำหรับการกู้เงินของรัฐบาล หากจำเป็นต้องกู้เงินก็กู้ได้ โดยนำมาช่วยเหลือประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำ โดยเฉพาะการใช้เพิ่มทักษะ หรือช่วยให้มีโอกาสหางานทำ โดยภาระหนี้ต่อจีดีพีของไทยขณะนี้ ยังต่ำกว่าหลายประเทศ โดยประเทศสำคัญในโลก สัดส่วนหนี้สาธารณะสูงกว่า 100% ของจีดีพี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศมีสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี สูงกว่าไทยมาก สหรัฐสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงถึง 120 – 130% ต่อจีดีพี ญี่ปุ่น 270% ต่อจีดีพี ของไทยสัดส่วนใกล้ ๆ 50 – 60% ต่อจีดีพีประเทศ

“วอนคนดูแลเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ พิจารณาว่า บางครั้งในภาวะเศรษฐกิจคับขันอย่างนี้ ถ้าจำเป็นจริง ๆ งบประมาณปีนี้ รายได้ต่ำกว่ารายจ่ายเป็นแสนล้าน หากจำเป็นกู้เงินก็ต้องกู้ เพื่อรักษาเศรษฐกิจให้มั่นคงอยู่ได้ เพื่อรอเวลาและเมื่อผ่านพ้นจากสถานการณ์โรคระบาดได้ ต่อไปการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะไม่เกี่ยวการนำเงินมาถมอีกต่อไป แต่จะเป็นไปโดยธรรมชาติ เพราะคนจะเริ่มมีอุปสงค์ต่อสินค้าเองโดยธรรมชาติ” นาย ศุภชัย กล่าว

สำหรับมาตรการใช้เงิน กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็เห็นใจและเห็นด้วย เพราะส่วนหนึ่ง ช่วยให้คนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ได้ แต่อยากจะแนะนำว่า จะให้ฟรีตลอดเวลาไม่ได้ อยากให้รัฐบาลวางเงื่อนไขว่า เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือแล้วต้องนำไปฝึกทักษะ รวมถึงการใช้เงินด้านการเพิ่มงานวิจัยและพัฒนาใหม่ๆ เพราะรัฐบาลไม่สามารถแจกเงินไปได้ตลอด เนื่องจากยังจำเป็นต้องนำไปใช้พัฒนาโครงการเป้าหมายที่มีมากขึ้น

ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ หรือ เมกะโปรเจกนั้น บางโครงการชะลอด้วยสภาพของโครงการเองอยู่แล้วอย่างโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน แต่โครงการที่จะก่อให้เกิดการสร้างงาน เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ซึ่งเป็นโครงการจำเป็นและช่วยสร้างงาน โครงการเหล่านี้ จำเป็นต้องทำต่อไป

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีหน้า เชื่อว่า จากการที่เศรษฐกิจและการส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้น เช่น สหรัฐแม้จะมีการเปิด ๆ ปิดๆ ประเทศ แต่การส่งออกของไทยไปสหรัฐก็เพิ่มขึ้น เพราะเป็นการนำเข้าทดแทนการนำเข้าจากจีน ในปีหน้าสิ่งที่ทรุดตัวลงไปในปีนี้ แต่ผลพวงจากการที่ประเทศไทยรักษาคนไทยให้ถูกกระทบน้อยที่สุด ปีหน้าก็จะโตขึ้นมาได้จากสิ่งไม่ได้ใช้กลับมาใช้เต็มที่ แต่หลายประเทศประชาชนเสียชีวิตไปกว่าจะสร้างคนขึ้นมาใช้เวลานาน

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนของไทยยังน่าห่วง โดยยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 80% ของจีดีพี เพราะโครงสร้างหนี้เกิดจากคนอายุน้อย และสะสมไปจนเกษียณอายุ ซึ่งเกิดจากการฟุ่มเฟือยบางสิ่งบางอย่าง ใช้ของบางอย่างหรือมือถือเกินไปหรือไม่ จึงน่าจะยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9

สำหรับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า ระยะหลังปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่า นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ไม่ได้ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นบทลงโทษคนออมเงิน ดังนั้น อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ส่งเสริมการออมมากกว่าส่งเสริมการกู้เงินไปใช้ การมีเงินออมมากขึ้นจะเป็นอานิสงค์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่ได้

ส่วนทิศทางค่าเงินบาท ที่ผู้ส่งออกต้องการให้อ่อนค่าลงนั้น นายศุภชัย มองว่า เงินบาทควรมีเสถียรภาพ ที่ผ่านมาช่วงประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาอุตสาหกรรมส่งออก เงินบาทอ่อนค่า เป็นสิ่งจำเป็นจริง จึงได้ผูกค่าเงินบาทไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันเงินบาทเคลื่อนไหวลักษณะลอยตัว สอดคล้องกับเงินเข้าออกประเทศไม่มีผู้กำหนด

“หากรัฐบาล หรือ ธปท.เข้าไปทำให้เงินบาทอ่อนค่าไม่เห็นด้วย 100% เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยมีบางปีเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 31 – 32 บาทต่อดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าการส่งออกก็ไม่ได้ดีขึ้น ขณะที่บางปีเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ในระดับ 29 – 30 บาทต่อดอลลาร์ แต่การส่งออกกลับดีเป็นปกติ เพราะการส่งออกขึ้นกับความต้องการของเศรษฐกิจโลก อีกส่วน” นายศุภชัย กล่าว

ที่มา : สำนักข่าวไทย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo