Economics

กกร. มอง ‘ไบเดน’ คว้าชัยเลือกตั้งส่งผลดีกับเศรษฐกิจไทยมากกว่า!

กกร. มอง “โจ ไบเดน” คว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะ ประเมินเศรษฐกิจปีนี้ติดลบ 7 – 9% ส่วนส่งออกติดลบ 8 – 10%

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังเข้มข้นและล่าสุด นายโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดิน จูเนียร์ หรือ “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต กำลังมีคะแนนนำหน้า นายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคริพับลิกัน และยังไม่แน่ใจว่าที่สุดแล้วใครจะชนะนั้น

ในการประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. วันนี้ (4 พ.ย.) ได้มีการหารือกันถึงประเด็นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะออกมาต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งในเบื้องต้น มองว่า ผลการเลือกตั้งสหรัฐ จะส่งผลต่อนโยบายการค้าและการลงทุนที่เปลี่ยนไปซึ่งมีผลทั้งบวกและลบ โดยหากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐ และพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

กกร.

ทั้งนี้ อาจจะส่งผลให้นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ กับคู่ค้ามีแนวโน้มกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น การค้าจะเปิดเสรีมากขึ้น การเข้าสู่กติกาโลกจะมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมตามสากลจะมีมากขึ้น แต่ถ้าหาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิมทั้งเรื่องการกีดกันทางการค้า รวมถึงนโยบายต่างประเทศแบบ ‘อเมริกาเฟิร์สต์’ จะยังคงมีต่อไป ซึ่งจะต้องติดตามผลการเลือกตั้งท้ายสุดที่จะออกมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่เป็น “สปอร์ตไลท์” ของสหรัฐอยู่ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่สหรัฐสามารถเข้ามาทำธุรกิจและส่งสินค้าจีนก็เป็นไปได้ แต่จะให้ทำการติดต่อกับจีนโดยตรงคงไม่สะดวก และไทยก็เป็นประเทศที่ป้อนสินค้าต่างๆ รายใหญ่อยู่แล้ว ทั้งรถยนต์ อาหาร และสินค้าอื่น ๆ ดังนั้น สหรัฐต้องการจุดนี้ด้วย

ส่วนเรื่องการที่สหรัฐ ระบุว่า จะเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น แต่ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรไทยหรือ จีเอสพี ออกไปนั้น ดังนั้น จะต้องพัฒนาสินค้าให้ดีที่สุด แม้ตลาดสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่ยังต้องส่งสินค้าไปขาย แต่เสี่ยงเกินไปที่จะหวังพึ่งตลาดสหรัฐแต่เพียงอย่างเดียว และการค้าขายใช้เงินสกุลยูโร จะปลอดภัยมากกว่า

“โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าหาก “โจ ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ประเทศไทยจะได้รับผลบวกมากกว่า” นายกลินท์ กล่าว

ขณะนี้ประเทศไทยจะต้องผลักดันข้อตกลงพหุภาคีให้ออกมาให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเดินหน้าให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวมถึงข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทยสหภาพยุโรป และข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทยกับสหราชอาณาจักร ซึ่งในการหารือ กกร. ในวันนี้ ก็เน้นใน 3 ข้อตกลงทางการค้านี้ เพราะมีผลมากต่อประเทศไทย

“เห็นว่าเขตการค้าเสรี หรือ FTA เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะFTA ในกรอกใหม่และปัจจุบันยังอยู่ในการเตรียมการ เช่น FTA Thai-UK, FTA Thai-EU, CPTPP เป็นต้น ซึ่ง กกร.ได้พิจารณาแล้วว่ามีหลายข้อบทที่เกี่ยวเนื่องกันใน FTA เกือบทุกกรอบ ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี ได้แก่ UPOV (การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่), CL (Compulsory Licensing), แรงงาน และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” นายกลินท์ กล่าว

โดย กกร.จะเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐที่มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่างๆ กับ กกร.เพื่อให้มีการเตรียมตัวครอบคุมในทุกภาคส่วน โดยอยากให้มีการจัดตั้งโดยเร็วเพื่อไม่ให้ไทยเสียโอกาสในเวทีการค้าโลก

กกร.

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผู้สมัครแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต และ นายดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคริพับลิกัน ต่างคำนึงถึงผลประโยชน์สหรัฐเป็นหลักอยู่แล้ว เพียงแต่วิธีการต่างกันเท่านั้น

โดย “โจ ไบเดน” มีสโลแกน Buy American เน้นให้ซื้อสินค้าทุกหมวดจากบริษัทของอเมริกาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หาก “โจ ไบเดน” ได้ เชื่อว่า จะมีความยืดหยุ่นทางการค้าเสรีมากกว่า โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ จะไปคล้ายกับช่วงที่นายบารัค โอบามา ยังคงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และจะให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเข้มงวดในเรื่องพวกนี้ สงครามการค้าจะลดลงบทบาทลง จะมีการเจรจากับทางประเทศจีนมากขึ้น

ตอนนี้ มองว่า “โจ ไบเดน” หากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะเป็นผลบวกต่อประเทศไทยมากกว่าแต่ในระยะสั้น แต่หลาย ๆ อย่าง ตาม สโลแกน Buy American จะมีผลกระทบอย่างไร ส่วน “โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์” เห็นถึงผลกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่กระทบเฉพาะประเทศเท่านั้น ทำให้การค้าทั่วโลกมีผลกระทบ จากการที่ ทรัมป์ดึงเศรษฐกิจไปที่สหรัฐทั้งหมด” นายสุพันธุ์ กล่าว

ด้านการแพร่ระบาดระลอกสองของโควิด-19 ที่รุนแรงในหลายประเทศ เป็นความเสี่ยงหลักในช่วงที่เหลือของปี 2563 ประเทศหลักในสหภาพยุโรปประกาศล็อกดาวน์ประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ ยังมองว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งแม้การล็อกดาวน์ในครั้งนี้จะเน้นจำกัดกิจกรรมของผู้บริโภค ไม่ได้ให้หยุดภาคการผลิต แต่ก็คาดว่าจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมแผ่วลง ในเบื้องต้นคาดว่าจะกระทบ GDP ไทยในไตรมาสที่ 4 ราว 0.37-0.5% เนื่องจากคาดว่าจะมีผลกระทบต่อความต้องการสินค้าส่งออก

หากโควิด-19 ไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย หรือ สามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้ กอปรกับเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี เช่น มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ที่ประชุม มองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 น่าจะฟื้นตัวได้ต่อไป

สำหรับทั้งปี 2563 กกร.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวในกรอบ -9.0% ถึง -7.0% ขณะที่คาดว่าการส่งออกจะหดตัวในกรอบ -10.0% ถึง -8.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ในกรอบ -1.5% ถึง -1.0%

ด้านแผนการช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคธุรกิจโรงแรมที่มีข้อเสนอของภาคเอกชนได้เสนอไปยังภาครัฐก่อนหน้านี้ เรื่องการตั้งกองทุนเพื่อซื้อโรงแรมที่ยังมีศักยภาพตามความเหมาะสม โดย กกร.ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวโดยละเอียด

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องออกมาตรการปิดเมืองปิดประเทศหรือ มาตรการล็อกดาวน์ ทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการเดินทางของนักธุรกิจชาวต่างชาติ รวมทั้งวิกฤตินี้ ยังสะท้อนถึงปัญหาวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยได้แก้ไขปัญหาบางส่วนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิ การลดทอนเอกสารและลดขั้นตอนการดำเนินการ ตามประกาศกรมการจัดหางาน ลงนาม ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 แต่ยังไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม จะส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของนักธุรกิจชาวต่างชาติ ดังนี้

1. เสนอให้สามารถยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าจาก Non-Immigrant O Visa เป็น Non-Immigrant B Visa ภายในประเทศไทยได้ เนื่องจากชาวต่างด้าวจำเป็นต้องเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทางของตนเพื่อเปลี่ยนประเภทวีซ่าดังกล่าว

2. เสนอให้แรงงานต่างด้าวทักษะสูงสามารถอยู่ในประเทศไทยต่อได้เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุหรือถูกยกเลิกไป เพื่อหางานใหม่

3. เสนอให้ยกเว้นการรายงานตัวทุก 90 วันแก่แรงงานต่างด้าวทักษะสูง โดยให้แจ้งเฉพาะกรณีที่มีการย้ายที่อยู่ถาวร

นอกจากนี้ ยังขอให้ภาครัฐเร่งรัดการจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการภายใน 30 วัน หลังจากการตรวจรับเรียบร้อยเพื่อช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินภาคเอกชน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo