Economics

คนละครึ่งมาแล้ว! ‘บิ๊กตู่’ ไฟเขียวแจกเงิน 3000 บาท 10 ล้านคน

แจกเงิน 3000 บาท “บิ๊กตู่” ไฟเขียวแล้ว! เคาะแจก 10 ล้านคน จากเดิม 15 ล้านคน พร้อมเปิดลงทะเบียนต้นเดือน ตุลาคม 2563 ใช้จ่ายได้ถึงสิ้นเดือน ธันวาคม 2563

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด (ศบศ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบหลักการโครงการ “คนละครึ่ง” ที่เสนอโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยกระทรวงการคลัง

แจกเงิน 3000

สำหรับ สาระสำคัญของโครงการคนละครึ่ง มีกลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านคน เปิดลงทะเบียนต้นเดือน ตุลาคม 2563 ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ผ่าน WWW. คนละครึ่ง .com เริ่มใช้จ่ายปลายเดือน ตุลาคม 2563 วันละไม่เกิน 100 บาท รวมตลอดอายุโครงการไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน เป็นการร่วมจ่ายที่รัฐจ่ายให้ครึ่งหนึ่งผู้ซื้อต้องจ่ายครึ่งหนึ่ง โดยสามารถใช้จ่ายได้ถึงสิ้นเดือน ธันวาคม 2563 นี้

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังเสนอให้เพิ่มเงินซื้อของกินของใช้ของผู้มีบัตรสวัสดิการ 14 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 200-300 บาท เป็นคนละ 700-800 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2563 เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น

“สำหรับการลดแจก 3 พันบาท จาก 15 ล้านคน เหลือ 10 ล้านคนนั้น เพราะมีการแจกเงินให้บัตรสวัสดิการเพิ่มอีก 14 ล้านคน เป็นกลุ่มคนที่ช่วยเหลือ 24 ล้านคน จะใช้เงินในโครงการนี้ 5.1 หมื่นล้านบาท และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์หน้า” นายอนุชา กล่าว

สำหรับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการได้รับการช่วยเหลือจะไม่สามารถลงทะเบียนรับเงิน 3,000 บาท ได้ เนื่องจากได้รับการช่วยเหลือแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวก่อนหน้านี้ว่า วัตถุประสงค์หลักของ “คนละครึ่ง” เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน ส่งเสริมการบริโภค และช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไปครอบคลุมถึงผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอย โดยรัฐบาลจะช่วยค่าใช้จ่าย 50% และอีก 50% ผู้ซื้อจะต้องจ่ายเองในวงเงินไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน เพื่อเอาไปใช้จ่ายซื้อของ ซึ่งจะต้องมาลงทะเบียนรับสิทธิ์ในโครงการลักษณะเดียวกับ “ชิมช้อปใช้”

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ มีดังนี้

  • มีสัญชาติไทย
  • อายุ 18 ปีขึ้นไป

โดยจำกัดไว้ที่ 15 ล้านคน สมัครเข้าร่วมโครงการแบบใครมาก่อนได้ก่อน รัฐจะ แจกเงิน 3000 บาท ให้ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย

ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

  • ร้านค้าทั่วไป
  • หาบเร่
  • แผงลอย ที่เป็นรายย่อย

เงื่อนไขการใช้จ่าย

  • ใช้ได้ไม่เกินวันละ 100 – 250 บาท
  • รัฐบาลจะช่วยค่าใช้จ่าย 50% และอีก 50% ผู้ซื้อจะต้องจ่ายเอง
  • ครอบคลุมอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้า ยกเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และบุหรี่
  • มีระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2563

ขณะที่กลุ่มร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ จะมุ่งเน้นไปที่ร้านค้ารายย่อยทั่วไป ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย ประมาณ 80,000 ร้านค้า ผ่านกลไกการดำเนินงานผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาล โดยที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังจัดทำรายละเอียดโครงการ เพื่อนำเสนอต่อ ศบศ. ภายใน 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ คาดจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ 90,000 ล้านบาท

“มาตรการ แจกเงิน 3000 บาท ทาง ศบศ.ให้กระทรวงการคลังไปดูรายละเอียดและนำกลับมาเสนอ ศบศ.เห็นชอบอีกครั้ง เพื่อเข้า ครม. คาดว่าจะเริ่มโครงการเดือนตุลาคม 2563” นายดนุชา กล่าว

แจกเงิน 3000
น.ส. ไตรศุลี ไตรสรณกุล

ด้าน น.ส. ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการแจกเงิน 3000 บาท ก่อนหน้านี้ว่า ตามที่สื่อบางสำนัก รายงานโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชน 15 ล้านสิทธิ์ รับ 3,000 บาท เพื่อจับจ่ายใช้สอย เป็นการเอื้อทุนใหญ่ เงินเข้ากระเป๋าห้างสรรพสินค้า และ ร้านสะดวกซื้อ รัฐบาลขอชี้แจงว่า โครงการดังกล่าว เป็นมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ที่ต่อยอดจากโครงการชิมช้อปใช้

โดยร้านค้าที่เข้ามาโครงการ จะยังเหมือนเดิม แต่วัตถุประสงค์หลัก ของโครงการนี้ เพื่อขยายร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมาย คือกลุ่มร้านค้าหาบเร่แผงลอย ร้านโชห่วย ร้านขายข้าวแกง ร้านขายอาหาร และ เครื่องมือตามตลาด หรือ ตลาดนัด เป็นต้น เพื่อกระจายรายได้ลงสู่ผู้ประกอบการรายเล็กให้ได้มากที่สุด

“รัฐบาลได้กำหนดหลักการเบื้องต้น ให้สามารถใช้จ่ายได้วันละ 100 บาท โดยรัฐออกค่าใช้จ่ายให้ 50% ผู้ได้รับสิทธิ์ออกเอง 50% ให้สอดคล้องในการจับจ่ายใช้สอยกับผู้ประกอบการรายเล็ก เช่น การซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ตามร้านค้าหาบเร่แผงลอง หรือร้านโชห่วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการดังกล่าว รัฐบาลต้องการช่วย เรื่องค่าครองชีพของประชาชน พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ลงไปสู่ผู้ค้ารายเล็กรายน้อย หลังจากที่ได้ผลกระทบ จากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยไม่ได้ตั้งเป้า ให้เงินเข้ากระเป๋าทุนใหญ่แต่อย่างใด แม้โครงการดังกล่าว จะมีห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อเข้าร่วมก็ตาม แต่จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์การใช้จ่ายนั้น เอื้อให้มีการซื้อของกับผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยจริงๆ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo