Economics

อานิสงส์ราคาถ่านหินพุ่งดันรายได้-กำไรบ้านปูโต

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าผลประกอบการครึ่งปีแรก 2561 มีรายได้จากการขายรวม 48,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 7,837 ล้านบาท คิดเป็น 19.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 16,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิรวม 2,665 ล้านบาท

banpu
สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบ้านปูจำกัด (มหาชน )

สำหรับผลการดำเนินงานเฉพาะไตรมาส 2 มีรายได้จากการขายรวม 26,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,711 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 28% ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 9,618 ล้านบาท สูงขึ้นจากไตรมาสแรก  27.8% และมีกำไรสุทธิ 4,112 ล้านบาท สูงขึ้นจากไตรมาสแรกเช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นมาจากราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้น โดยไตรมาส 2 ราคาขายถ่นหินอยู่ที่ 76.93 ดอลลาร์ ส่วนราคาเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2561 อยู่ที่ 78.52 ดอลลาร์ต่อตันจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 66.12 ดอลลาร์ต่อตันและราคา ณ วันที่ 10 สิงหาคม อยู่ที่ 119 ดอลลาร์ คาดว่าครึ่งปีหลังราคาจะอยู่ในระดับสูงต่อไปไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์

ทั้งนี้ราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นมาจากปริมาณถ่านหินตลาดโลกลดลง เหตุน้ำท่วมในอินโดนีเซีย แหล่งถ่านหินใหญ่ของโลก และการปิดซ่อมบำรุงเหมืองที่ออสเตรเลีย ขณะที่ความต้องการยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง

การใช้ถ่านหินในภาพรวมของโลกยังอยู่ในระดับสูงมีอัตราการเติบโต 3-4%ต่อปี มีสัดส่วนการใช้ของทั้งโลกมากที่สุด 27% รองลงมาเป็นก๊าซธรรมชาติ 23% และพลังงานหมุนเวียนกว่า 10% โดยพลังงานทั้ง 3 ประเภทจะเป็นพลังงานหลักของโลกสัดส่วนการใช้รวมกันกว่า 70% ดังนั้นบริษัทจึงจะมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานครบวงจรให้มากขึ้นเพื่อสอดรับกับกระแสโลก

ในส่วนธุรกิจถ่านหินจะยังคงซื้อเหมืองที่มีโอกาส เน้นใกล้แหล่งเดิมที่มีอยู่เพื่อใช้สาธารณูปโภคและสาธารณูปการร่วมกัน ล่าสุดซื้อเหมืองใหม่ที่เกาะกาลิมันตัน อินโดนีเซีย ข่วยเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินให้บริษัท 77 ล้านตัน ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเข้าไปพัฒนา shale gas ในสหรัฐ ซึ่งไตรมาส 2 มีรายได้จากการขาย 1,160 ล้านบาท หรือ 35 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 34.6% จากไตรมาสแรก

ส่วนธุรกิจไฟฟ้ามุ่งลงทุนพลังงานหมุนเวียนเพราะสัดส่วนการใช้จะเพิ่มจากราว 10%ในขณะนี้เป็นกว่า 25% ในระยะ 10-20 ปี

นางสมฤดี กล่าวว่าหลังจากนี้บริษัทจะปรับภาพลักษณ์ใหม่จากบริษัทถ่านหินสู่ “บริษัทพลังงานครบวงจร”ด้วยกลยุทธ์ Greener & Smarter เน้นธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และใช้เทคโนโลยี

ทั้งนี้  ในปี 2561 คาดว่าจะมีรายได้ 3,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25% เทียบปีก่อนที่มีรายได้ 2,800 ล้านดอลลาร์ จากราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2,160 เมกกะวัต์ รวมทั้งประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าหงสา-ลิกไนต์ สปป.ลาว มีประสิทธิภาพเดินเครื่องผลิตสูงกว่า 80%

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight