Economics

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ‘ร่วง’ ต่อเนื่อง แนะขึ้น ‘ค่าแรง’ อย่าเกินวันละ 10 บาท

ม.หอการค้าไทยเผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่ำสุดรอบ 67 เดือนร่วงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จากความกังวลเสถียรภาพเศรษฐกิจ-การเมือง ยังหวังปีหน้าเริ่มฟื้นตัว แนะปรับค่าแรงเพิ่มไม่ควรเกิน 10 บาท ห่วงกระทบการจ้างงาน บัณฑิตจบใหม่

นายปรีดา โพธิ์ทอง รองผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ระดับ 69.1 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 67 เดือน นับตั้งแต่ปี 2559 เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองทั้งปัจจุบันและอนาคต ภาวะเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้า

financial crisis 544944 960 720

นอกจากนี้ ยังกังวลถึงปัจจัยลบภายนอก จากสถานการณ์ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ปัญหา Brexit รวมถึงเงินบาทที่บังแข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนความไม่ไว้ใจเศรษฐกิจ ซึ่งจากการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ พบว่า เอกชนส่วนใหญ่สะท้อนออกมาว่า ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ระดับเงินเฟ้อยังต่ำ สัญญาณจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อย ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. จึงได้เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะปรับตัวดีขึ้น โดยอาจขยายตัวได้ร้อยละ 3.1 ขณะที่การส่งออกจะกลับมาโตเป็นบวกร้อยละ 1.8 หากไม่มีข่าวเชิงลบเรื่องสงครามการค้า โดยล่าสุดจีนออกมาระบุว่าอยากให้สหรัฐลดภาษีนำเข้า ขณะที่สหรัฐอยากให้จีนเปิดตลาดสินค้าเกษตร ดังนั้น วันที่ 15 ธันวาคมนี้ เชื่อว่าสหรัฐไม่น่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าอีกระลอก

 

ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ ฟื้นปลายไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งหากรัฐบาลสามารถผ่านงบประมาณได้ คาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายงบประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2563 พร้อมมีการเร่งเบิกจ่ายงบประจำ งบลงทุน ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ทำให้เศรษกิจฟื้นตัวดีขึ้น

562000012073901

ในส่วนของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากที่อยู่ในระดับเฉลี่ยวันละ 330 บาทนั้น หากพิจารณาเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับร้อยละ 1 เศษ การจะปรับค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 6-15 เป็นกรอบที่ดำเนินการได้ เพราะสอดคล้องกับเงินเฟ้อ แต่ต้องพิจารณาตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี และที่สำคัญต้องรับฟังความเห็นของภาคเอกชน

“การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับเพิ่ม 6-9 บาท ไม่ควรปรับเพิ่มวันละ 10 บาท เพราะระดับต่ำกว่า 10 บาท น่าเป็นระดับที่ภาคเอกชนพร้อมจ่ายมากขึ้น และสามารถประคองการจ้างงานเอาไว้ได้ ซึ่งน่าเป็นผลบวกมากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 10-15 บาท”นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้เพราะหากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไประดับ 10 บาทขึ้นไป จะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มเป็นวันละ 340-345 บาท ทำให้ฐานเงินเดือนลูกจ้างในภาพรวมจะต้องถูกปรับขึ้นตามไปด้วย และเป็นแรงกดดันให้มีการชะลอการจ้างงาน กระทบบัณฑิตใหม่ได้รับการจ้างงานลดลง อีกทั้งเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคเอกชนนำเครื่องจักรเข้ามาใช้มากขึ้น

Avatar photo