การที่ทางการสหรัฐประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีเป็นการทั่วไป หรือ GSP ที่ให้แก่ไทยรวม 573 รายการมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับในวันที่ 25 เมษายน 2563 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การตัดสิทธิ GSP ในครั้งนี้ ส่งผลต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสินค้าในรายการที่ถูกตัดสิทธิมีสัดส่วนเพียง 4.1% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปสหรัฐ
ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ภาคธุรกิจไทยที่เกี่ยวข้องคงต้องเผชิญอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นไปอยู่ในอัตรา MFN แม้ว่าจะมีผลกระทบในภาพรวมค่อนข้างจำกัด เนื่องด้วยสินค้าส่วนใหญ่เผชิญอัตราภาษีไม่สูงและสินค้าไทยค่อนข้างแข็งแกร่งในตลาดสหรัฐ แม้ว่าน่าจะมีส่วนทำให้ไทยเผชิญความท้าทายในการทำตลาดมากขึ้นในสินค้าบางชนิด ขณะที่ในบางสินค้ามีความเสี่ยงสูญเสียตลาดสหรัฐเป็นการถาวร เนื่องจากผลทางภาษีที่เปลี่ยนไปอย่างมากและความสามารถในการทำตลาดของสินค้าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า สถานการณ์การส่งออกของไทยไปสหรัฐยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยการตัดสิทธิ GSP ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของแรงกดดันทางการค้าของสหรัฐต่อไทย ซึ่งผู้ประกอบการคงต้องเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเพิ่มขึ้นอีก หากสหรัฐเดินหน้ากดดันไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ภาคธุรกิจจะต้องเร่งพัฒนาก็คือ การยกระดับการผลิตให้เป็นไปตามเกณฑ์สากล รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้าให้มากขึ้น ทั้งการสร้างความโดดเด่นหรือการเน้นจับตลาดเฉพาะ เพื่อทำให้สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดอันจะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาหรือลดความจำเป็น ที่จะต้องพึ่งพาสิทธิพิเศษทางภาษี และสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลก
ภาพปกจาก pixabay.com