3 ภาคส่วนร่วมแชร์ไอเดีย “โรงไฟฟ้าชุมชน” เสนอเกณฑ์ชุมชนร่วมถือหุ้น 10-30% จัดสรรเงินเข้าชุมชน 25 สตางค์ต่อหน่วย 20 โครงการเอกชนขอเข้า “ควิกวิน” ด้านธ.ก.ส.เตรียมสินเชื่อ 5,000 ล้านปล่อยกู้โครงการ 20 ปี
วันนี้ (9 ต.ค.) กระทรวงพลังงานเปิดเวทีระดมความคิดเห็น ดึงทุกภาคส่วนร่วมนำเสนอความเห็น เพื่อเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน อาทิ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้จัดรับฟังความคิดเห็น “การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อรวบรวม นำไปสู่การจัดทำกรอบการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้า ตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน โดยมี 5 คำถามที่ให้ทุกฝ่ายช่วยกันหาคำตอบร่วมกันในครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. การถือหุ้นของโรงไฟฟ้า ระหว่างชุมชนกับเอกชน สัดส่วนเท่าใดจึงจะเหมาะสม โดยชุมชนได้รับเป็นหุ้นบุริมสิทธิ เป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ?
2. ส่วนแบ่งรายได้คืนสู่ชุมชน ควรเป็นเท่าไหร่?
3. ราคาเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า เท่าใดจึงจะเหมาะสม?
4. วิธีคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการใช้วิธีใดจึงจะเหมาะสมที่สุด?
5. ท่านคิดว่าโรงไฟฟ้าชุมชนจะสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
ทั้งนี้เป้าหมายโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น เน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า นอกจากสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในประเทศแล้ว ยังเป็นการเพิ่มรายได้เข้าสู่ชุมชนตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการประกันรายได้ จากการปลูกพืชพลังงาน การเข้าไปถือหุ้นในประกอบการกิจการโรงไฟฟ้า รวมถึงผลประโยชน์ของชุมชนที่จะได้รับรายได้จากการขายไฟฟ้า
โดยเบื้องต้นหลายๆฝ่ายเห็นด้วยที่จะให้ชุมชนถือหุ้นในโรงไฟฟ้า 10-30 % เป็นหุ้นบุริมสิทธิ์ 10% และให้สิทธิมีหุ้นสามัญ 20% และทุกหน่วยของการขายไฟฟ้าจะนำผลประโยชน์คืนชุมชน 25 สตางค์
ทั้งนี้ระยะแรกมีเป้าหมายจะทำ 250 แห่งก่อนในปีหน้า แต่จะมีโครงการควิกวินประมาณ 20 โครงการ ที่กระทรวงพลังงานเคยสนับสนุนหลายปีก่อน และต้องหยุดไป ให้มาเข้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน แต่เข้าโครงการได้หรือไม่ จะต้องอยู่บนหลักการ คือ เปิดให้เอกชนมีหุ้นในโรงไฟฟ้า สายส่งมีศักยภาพรองรับได้ ผลิตไฟฟ้าใช้ในชุมชน นำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร มาผลิตเป็นเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้า เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด รวมถึงพืชพลังงานอย่างหญ้าเนเปียร์ โดยพพ.จะเป็นหน่วยงานรวบรวมความเห็น และนำมาสรุปเป็นเงื่อนไขของโรงไฟฟ้าชุมชนต่อไป
“ผลจากการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในครั้งนี้ กระทรวงพลังงาน จะนำข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็น ไปประกอบการพิจารณารูปแบบการพัฒนาโครงการที่เหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางในการเปิดรับ ภาคเอกชนที่สนใจเข้าร่วมลงทุนกับชุมชน โดยกรอบดังกล่าว จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าในปี 2563 ”
สำหรับโมเดลการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน มี 7 รูปแบบด้วยกัน สำหรับรูปแบบที่ 7 จะใช้เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นๆ ประกอบด้วย
- โรงไฟฟ้าชุมชน ก๊าซชีวภาพ จากพืชพลังงาน
- โรงไฟฟ้าชุมชน ไฮบริดก๊าซชีวภาพ จากพืชพลังงาน และพลังงานแสงอาทิตย์
- โรงไฟฟ้าชุมชน ชีวมวล
- โรงไฟฟ้าชุมชน ไฮบริดชีวมวล -พลังงานแสงอาทิตย์
- โรงไฟฟ้าชุมชน ก๊าซชีวภาพ จากน้ำเสีย และของเสีย)
- โรงไฟฟ้าชุมชน ไฮบริดก๊าซชีวภาพ (จากน้ำเสีย และของเสีย – พลังงานแสงอาทิตย์
- โรงไฟฟ้าชุมชน พลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ในห้องประชุม ผู้แทนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระบุว่า ธนาคารจัดสินเชื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 5,000 ล้านบาท ระยะเวลาให้สินเชื่อ 20 ปี ดอกเบี้ย MRR
ด้านนายผจญ ศรีบุญเรือง นายกสมาคมการค้าก๊าซชีวภาพไทย กล่าวว่า มีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กประมาณ 50 โครงการ รวมประมาณ 100 เมกะวัตต์ ที่เกิดจากนโยบายการส่งเสริมผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าเนเปียร์ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าของกระทรวงพลังงาน และต้องหยุดไป เพราะไม่มีการส่งเสริมต่อ นอกจากก๊าซชีวภาพจากหญ้าเนเปียร์ ก็มีน้ำเสียจากโรงปาล์ม โรงงานผลิตแป้งมัน เป็นต้น รวมถึงโรงไฟฟ้าแกลบ และจากการรวบรวมมี 20 โครงการที่พร้อมเข้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ทั้งในภาคใต้และอีสาน ขนาดกำลังผลิตโรงละ 1-3 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตามต้องย้ำว่าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจะต้องเป็นโครงการที่เดินหน้าได้เชิงธุรกิจ แต่อาจจะต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป เพื่อให้เกิดความยั่งยืน และชุมชนก็จะได้ผลตอบแทนจริงๆ
ทางด้านนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษ้ทของตนเองนำเสนอเข้าโครงการควิกวิน เพราะเป็นโรงไฟฟ้าที่เกิดจากโครงการส่งเสริมผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าเนเปียร์ และมูลสัตว์ ขนาดกำลังผลิต 2 เมกะวัตต์ 2 โรง รวม 4 เมกะวัตต์ ลงทุนรวม 500 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวดบุรีรัมย์
โดยเฟส 1 เริ่มทดสอบเดินเครื่องในเดือนพฤศจิกายนนี้ เฟส 2 ทดสอบเดินเครื่องในเดือนธันวาคม โดยหากได้รับการอนุมัติ จะแยกบริษัทออกมาโดยเฉพาะ เพื่อเปิดให้ชุมชนเข้ามามีหุ้นส่วน
ทั้งนี้เห็นว่ารัฐต้องเข้ามาสนับสนุนในเรื่องค่าไฟฟ้า เพราะต้นทุนผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 3.70 บาทต่อหน่วย ดังนั้นหากจะให้โรงไฟฟ้าอยู่ได้ มีผลตอบแทนคืนชุมชนด้วย ค่าไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบได้จะต้องอยู่ราว 4.50-5.50 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันเราส่งเสริมชาวบ้านปลูกหญ้าเนเปียร์ส่งให้โรงไฟฟ้า 400 ไร่ และมีแปลงที่ปลูกเอง 1,200 ไร่
นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงไฟฟ้าของบริษัทที่นำเสนอเข้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซชีวภาพ จากหญ้าเนเปียร์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น ขนาดกำลังผลิต 3 เมกะวัตต์ ลงทุนรวม 300 ล้านบาท โดยบริษัทส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหญ้าเนเปียร์ 700-800 ไร่ รับซื้อที่ 500 บาทต่อตัน
“เราอยากให้ทุกหน่วยงานเข้ามาร่วมส่งเสริมโครงการนี้ด้วย เพราะจะเป็นประโยชน์กับชุมชน โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้คำแนะนำเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ “