Economics

‘เอสซีจี’ คาดปี 62 ยอดขายลดฮวบ 10% พิษสงครามการค้าจีนสหรัฐ-เงินบาทแข็ง

“เอสซีจี” คาดปี ุ62 ยอดขายลดลง 9-10% พิษเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าจีนสหรัฐ-เงินบาทแข็งค่า พร้อมตัดงบลงทุนทั้งปี 10,000 ล้านบาท IMG 20190726 145731นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า คาดว่ายอดขายทั้งปี 2562 จะลดลง 9-10% ทั้งนี้เป็นผลมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกลดต่ำลง จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ 2.ต้นทุนผันผวน ทั้งวัตถุดิบ และราคาพลังงาน 3.ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งครึ่งปีแรกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 5,300 ล้านบาท

สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการแล้ว ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2562 มีรายได้จากการขาย 109,094 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 3 % จากไตรมาสก่อน ซึ่งผลกระทบในไตรมาสนี้ มาจากการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานด้วย สำหรับผลประกอบการรวมครึ่งปีแรกของปี 2562 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 221,473 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

หากพิจารณารายธุรกิจ ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 45,995 ล้านบาท ลดลง 19 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1 % จากไตรมาสก่อน ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก ธุรกิจนี้มีรายได้จากการขาย 92,235 ล้านบาท ลดลง16 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 20,402 ล้านบาท ลดลง 6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 3 % จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลง ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 41,529 ล้านบาท ลดลง 5 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจที่ยังเติบโต คือ ธุรกิจซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 45,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 5 % จากไตรมาสก่อน และในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตต่อไป เพราะคาดว่าตลาดรวมจะขยายตัวอย่างน้อย 3-4% จากโครงการลงทุนของรัฐ

จากผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทำให้เอสซีจีทบทวนแผนการลงทุนทั้งหมดในปีนี้ 2562 โดยปรับลดลง 10,000 ล้านบาทจาก 85,000 ล้านบาทเหลือ 75,000 ล้านบาท โดยจะเน้นโครงการที่มีศักยภาพ และตลาดเติบโตสูง สามารถเร่งรัดให้สำเร็จได้โดยเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก โครงการหลักๆที่ดำเนินงานในปีนี้ คือ การเร่งรัดโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่เวียดนาม การเข้าซื้อหุ้น Fajar ผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของอินโดนิเซีย ซึ่งจะสามารถรวมผลการดำเนินงานเข้ามาในธุรกิจแพคเกจจิ้งของเอสซีจีได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 รวมถึงโครงการขยายกำลังผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ฟิลิปปินส์ และมีแผนที่จะเข้าซื้่อกิจการเพิ่มเติมในปีนี้ด้วย

สำหรับในระยะยาว เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้า และบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ล่าสุดได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา SCG Advanced Materials Laboratory ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาต้นแบบสินค้าในกลุ่ม Functional Materials และจะเปิด Application Center ที่สวิสเซอร์แลนด์เร็วๆนี้ เพื่อวิจัย และพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมอาหารและยา ส่วนที่นอร์เวย์ เปิดห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน

ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA อยู่  47,164 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4 % จากไตรมาสก่อน ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2562 เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 92,628 ล้านบาท คิดเป็น 42 % ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 2 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อีกหนึ่งกลยุทธ์ของเอสซีจีในการฝ่าวิกฤต คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เอสซีจีคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่องของธุรกิจด้วยการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เอสซีจีมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร (cash & cash under management) 42,573 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงาน อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงาน โดยสามารถจ่ายไฟฟ้าได้แล้ว 77 เมกะวัตต์ ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากภายนอก ช่วยให้ประหยัดได้ 350 ล้านบาทต่อปี และการเปลี่ยนของเสียให้เป็นพลังงาน (Waste to energy) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากของเสียในการผลิตกระดาษ โดยมีกำลังการผลิต 9.6 เมกะวัตต์ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี

 

Avatar photo