SCB EIC หวั่นส่งออกไทยทั้งปี เสี่ยงหดตัวจากสงครามการค้า เปิด 6 ปัจจัยเสี่ยงต้องเฝ้าระวัง แม้เดือนมีนาคมยอดส่งออกโตสูงสุดในรอบ 3 ปี
มูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือน มีนาคม 2568 โต 17.8% เร่งตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 29,548.25 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่คาดไว้บ้าง (SCB EIC ประเมินไว้ 14.7% และค่ากลาง Reuters Poll 13.5%) โดยส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวสูงต่อเนื่องจาก 14% และ 13.6% ในเดือน กุมภาพันธ์ และ มกราคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมมูลค่าส่งออกไทยช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัว 15.2%
SCB EIC ประเมินส่งออกไทยเดือนนี้ ได้รับอานิสงส์จากการเร่งผลิตและส่งออกก่อนสหรัฐ ประกาศภาษีตอบโต้ และปัจจัยวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นเป็นสำคัญ สะท้อนจาก
เปิด 3 ปัจจัยหนุนส่งออกมีนาคมโตพุ่ง
1. การส่งออกไปสหรัฐ ขยายตัวมากถึง 34.3% เร่งตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี 3 เดือน โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวถึง 107.2% และ 44.4% ตามลำดับ
2. การส่งออกไปจีนขยายตัวดี 22.2% ต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยเฉพาะสินค้าขั้นกลางและขั้นต้น เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม
3. การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวดี เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โต 80.2% ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ 94.6% และแผงวงจรไฟฟ้า 41.5%
ทองคำยังเป็นปัจจัยหนุนการส่งออก
แรงส่งจากประเด็นพิเศษทองคำที่เห็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มหมดลง โดยการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปยังคงขยายตัวสูงมากถึง 269.5% เร่งขึ้นจาก 26.1% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะตลาดสวิตเซอร์แลนด์ (1,090.5%) กัมพูชา (60.5%) ฮ่องกง (195.0%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (100%)
ทั้งนี้ เป็นผลจากความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา สำหรับแรงส่งจากการส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม SCB EIC ประเมินว่า เกือบทั้งหมดเป็นการส่งออกทองคำในรูปของทองคำผสมแพลทินัมในสัดส่วนน้อยไปยังตลาดอินเดียเพื่อประโยชน์ทางภาษีของผู้นำเข้าอินเดียนั้น เริ่มมีสัญญาณใกล้หมดลง โดยมีมูลค่าเพียง 202.7 ล้านดอลลาร์ (ขยายตัว 1,022.6%) ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 1,269.8 ล้านดอลลาร์ (ขยายตัว 4,159.6%) อย่างชัดเจน
ปัจจัยพิเศษนี้มีแนวโน้มจะสิ้นสุด เนื่องจากทางการอินเดียได้ทำการย้ายสินค้าโลหะผสมแพลตตินัมออกจากประเภทสินค้านำเข้าปลอดภาษีแล้วในต้นเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา แต่ยังคงยกเว้นการนำเข้าโลหะผสมแพลตตินัมบริสุทธิ์ 99%
ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกทองคำ และสินค้ากลุ่มโลหะมีค่า และของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่น ๆ นี้ มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยในภาพรวมของเดือนนี้เติบโตได้ถึง 5.4% จากอัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดที่ 17.8%
นอกจากนี้ การส่งออกเดือนมีนาคม ยังได้แรงขับเคลื่อนจากสินค้าอุตสาหกรรม ขณะที่สินค้าหมวดหลักอื่นหดตัว โดยเมื่อพิจารณารายหมวด พบว่า
สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 23.5% โดยเฉพาะสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับหักทอง, ทองคำยังไม่ขึ้นรูป, เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์, ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์, อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องปรับอากาศ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล
ขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ และส่วนประกอบของเล่น และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เป็นสินค้าหลักที่หดตัว ทั้งนี้หากหักทองคำและสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่น ๆ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมจะขยายตัวได้ 17.1%
สินค้าเกษตรหดตัว 0.5% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แต่หดตัวน้อยลงบ้าง โดยยางพาราและผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งขยายตัวดี ขณะที่ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและข้าวหดตัวต่อเนื่อง
สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรหดตัว 5.7% ครั้งแรกในรอบ 9 เดือน จากที่เคยขยายตัวสูง 9.9% ในเดือนก่อน โดยอาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวดี ขณะที่น้ำตาลทราย ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปหดตัว
สินค้าแร่และเชื้อเพลิงยังหดตัว 9% ต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยน้ำมันสำเร็จรูปยังคงหดตัว -8.0% แรงกว่าเดือนก่อนที่หดตัวเพียง 3.6% และเป็นการหดตัวต่อเนื่องนานกว่าครึ่งปี
ตลาดส่งออกสำคัญของไทยขยายตัว ยกเว้นออสเตรเลีย
หากพิจารณารายตลาด พบว่า ตลาดส่งออกสำคัญของไทยเดือน มีนาคม ขยายตัวเกือบทุกตลาด ยกเว้นออสเตรเลียที่หดตัว 10.3% โดยหดตัวติดต่อกัน 6 เดือน ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐ และจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 1 และ 2 ของไทย ขยายตัวดี 34.3% และ 22.2% ตามลำดับ
หากพิจารณาแหล่งที่มาของการส่งออกรายตลาด พบว่า ในเดือนมีนาคม การส่งออกไปสหรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ และจีน เป็นแหล่งที่มาของการขยายตัวสูง 6.3%, 2.7% และ 2.5% ตามลำดับ
สำหรับสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าหมวดอิเล็กโทรนิกส์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
ขณะที่สินค้าส่งออกไป สวิตเซอร์แลนด์ที่ขยายตัวดี ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป
สำหรับสินค้าส่งออกไปจีนที่ขยายตัวดีค่อนข้างกระจายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา ผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็งและแห้ง น้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม
นำเข้าเดือน มีนาคม ขยายตัวสูงกว่าคาด
มูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน มีนาคม อยู่ที่ 28,575.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10.2% สูงกว่าที่ประเมินไว้ (SCB EIC ประเมิน 4.9% และค่ากลาง Reuters Poll 6.1%) เร่งขึ้นจาก 4.0% ในเดือนก่อน และนำเข้าโตต่อเนื่องมานาน 9 เดือนแล้ว
การนำเข้าไม่รวมทองคำขยายตัวสูง 8.1% จากที่เคยหดตัว 0.5% ในเดือนก่อน โดยการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (รวมทองคำ) และสินค้าเชื้อเพลิงขยายตัว 19.0%, 15.8%, 9.5% และ 2.2% ตามลำดับ
ขณะที่การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง รวมถึงอาวุธและยุทธปัจจัยหดตัว 2.6% และ 2.2% ตามลำดับ ข้อมูลดุลการค้าไทย (ระบบศุลกากร) ในเดือน มีนาคม เกินดุล 973.0 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ดุลการค้าไทยเกินดุลสะสม 1,081 ล้านดอลลาร์
สงครามการค้ากระทบช่วงครึ่งปีหลัง
SCB EIC ประเมินว่ามูลค่าส่งออกไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จะขยายตัวดี โดยตัวเลขมูลค่าการส่งออกไตรมาส 1 ขยายตัวมากถึง 15.2% ขณะที่ไตรมาส 2 จะชะลอตัวลงมาก เพราะหลายแรงส่งสำคัญจะแผ่วลง โดยเฉพาะการเร่งสั่งซื้อของคู่ค้าก่อนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผล อานิสงส์วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และปัจจัยการส่งออกทองคำ รวมถึงปัจจัยการส่งออกทองคำผสมโลหะอื่นไปอินเดีย
นอกจากนี้ การส่งออกช่วงปลายไตรมาส 2 จะเริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 10% (Universal tariff) กับเกือบทุกประเทศคู่ค้าทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมาแล้ว รวมถึงประกาศเก็บสินค้าเฉพาะเจาะจง (Specific tariffs) รายประเทศ/รายสินค้าหลายรายการ เช่น สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม สินค้ายานยนต์ เก็บเพิ่ม 25% จากคู่ค้าเกือบทุกประเทศ
อย่างไรก็ดี แม้ทรัมป์จะประกาศเลื่อนกำหนดเก็บภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal tariffs) ออกไป 90 วันก็ตาม แต่จีนซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญสุดของไทยถูกสหรัฐ ตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ไปสูงมากถึง 125% (และหากรวมภาษีเฉพาะเจาะจงรายประเทศ 20% บนข้อกล่าวหา Fentanly ด้วยแล้ว จีนจะถูกเก็บภาษีตอบโต้รวมสูงถึง 145%)
SCB EIC ประเมินว่า การส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี จะเผชิญปัจจัยกดดันและความไม่แน่นอนที่รุนแรงมากขึ้น มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีจะหดตัวรุนแรง โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้าย ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกทั้งปีเสี่ยงหดตัว -0.4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.6% (ตัวเลขระบบดุลการชำระเงิน, มุมมอง ณ มี.ค. 2025) สาเหตุหลักมาจาก
1. อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐสูงและกระทบเป็นวงกว้างกว่าที่เคยคาดไว้ ในช่วงต้นปี SCB EIC ประเมินว่านโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐ จะไม่สุดโต่งมากนัก อัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐ อาจจะไม่สูงมากและมีแนวโน้มส่งผลกระทบอย่างจำกัด โดยอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (Effective Tariff Rate : ETR) ของสหรัฐ อาจเพิ่มขึ้นราว 11.3% อย่างไรก็ดี หากสหรัฐ บังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าทั้งหมดที่ประกาศไว้ จะมีผลทำให้ ETR ของสหรัฐ เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% สูงกว่าที่ประเมินไว้เกือบเท่าตัว
2. นโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ จะกดดันให้เศรษฐกิจโลกและการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงมาก SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะมีแนวโน้มเติบโตเพียง 2.2% และโลกมีความเสี่ยงราว 35-50% ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)
นอกจากนี้ ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอลงรุนแรงเช่นกัน องค์การการค้าโลก (WTO) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการปริมาณการค้าโลกปี 2025 ลงจากการประเมินครั้งก่อนเหลือ 0.2 และ 1.7% (เดิม 2.7% และ 3.2% ตามลำดับ)
3. ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางตรงสูง เนื่องจากพึ่งตลาดสหรัฐ และเสี่ยงอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้สูง โดยสหรัฐ นับเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของการส่งออกไทยทั้งหมดในปี 2567 เพิ่มขึ้นมากจาก 12.7% ในปี 2562 หรือมีสัดส่วน 10% ของ GDP ซึ่งค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ ไทยอาจโดนภาษีนำเข้าตอบโต้จากสหรัฐ สูงถึง 36% สูงกว่าอัตราค่าเฉลี่ยทั่วโลก เอเชีย และอาเซียนที่ 17% 23% และ 33% ตามลำดับ
การส่งออกไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางตรงสูงผ่าน 2 ช่องทาง คือ 1. Substitution effect : สหรัฐ เก็บภาษีศุลกากรตอบโตไทยสูงถึง 36% ขณะที่ประเทศต่าง ๆ โดนอัตราภาษีน้อยกว่ามาก (ส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม 10%) จึงอาจทำให้สหรัฐ หันไปนําเข้าสินค้าจากคู่แข่งที่ราคาถูกกว่า 2. Income effect : สหรัฐ อาจนําเข้าสินค้าจากไทยและคู้ค้าอื่น ๆ น้อยลง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐ อาจชะลอลงมากจากนโยบายกําแพงภาษีของตัวเอง
4. ผลกระทบทางอ้อมอาจรุนแรงเช่นเดียวกัน เนื่องจากการแข่งขันนอกตลาดสหรัฐ อาจรุนแรงขึ้น ทำให้การส่งออกไทยอาจชะลอตัวลงได้ด้วย จาก
- ความต้องการสินค้าขั้นปลายของไทยลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลง โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
- ความต้องการสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางของไทยในห่วงโซ่การผลิตลดลง จากการผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ลดลง
- การแข่งขันในตลาดส่งออกโลกสูงขึ้น บางประเทศอาจเผชิญปัญหาส่งออกไปตลาดสหรัฐ ได้น้อยลง แต่กำลังการผลิตในประเทศยังมีอยู่มาก ต้องระบายสินค้าขายตลาดอื่นมากขึ้น
- บางประเทศคู่ค้าอาจหันไปนำเข้าจากสหรัฐ เพิ่มขึ้นเพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ จึงอาจนำเข้าสินค้าไทยน้อยลง
5. ตลาดส่งออกหลักอื่น ๆ ของไทยค่อนข้างกระจุกตัวในประเทศที่อาจถูกสหรัฐ เก็บภาษีตอบโต้สูง โดย SCB EIC พบว่า 12 ใน 15 ตลาดคู่ค้าสำคัญของไทย คิดเป็น 73.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด (ไม่รวมสหรัฐ) เสี่ยงที่จะถูกกำแพงภาษีสหรัฐ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกในอัตรา 17% (รูปที่ 8) การส่งออกไทยไปยังตลาดหลักอื่น ๆ กลุ่มนี้อาจลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจประเทศที่อาจชะลอลงด้วย
6. ปัจจัยหนุนตั้งแต่ต้นปีจะทยอยหมดลง เช่น การเร่งผลิตและส่งออกก่อนสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีจริง อานิสงส์วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ปัจจัยการส่งออกทองคำจากความกังวลในช่วงความไม่แน่นอนนโยบายการค้าสูง และประเด็นพิเศษทองคำผสม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘SCB EIC’ ส่องผลกระทบไทยโดนภาษีนำเข้าสหรัฐ 36% ท่ามกลางการค้าโลกที่หดตัวลง
- ‘รมว.พาณิชย์’ โว!! ส่งออกไทยเดือนมีนาคมโตทะลุ 17.8% สูงสุดในประวัติศาสตร์
- ส่งออกไทยเดือน ก.พ. โตพุ่ง 14% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ลุ้นทั้งปีโตทะลุเป้า
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook : https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X : https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram : https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg