Economics

ค้าปลีกไทย 4 ล้านล้านเผชิญปัจจัยรอบด้าน ชงรัฐสกัดสินค้าไร้มาตรฐาน

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดค้าปลีกมูลค่า 4 ล้านล้านบาทครึ่งปีหลัง ยังเผชิญปัจจัยรุมเร้า แนะกลยุทธ์ “ตั้งรับ-รุกกลับ-ปรับตัว” พร้อมชงรัฐคุมเข้มสินค้าไร้มาตรฐาน ดันไทยสู่ฮับช้อปปิ้งอาเซียน

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ค้าปลีกไทยเต็มไปด้วยความท้าทายจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนภาพการบริโภคที่ชะลอตัว ภาคท่องเที่ยวเติบโตลดลง และภาคส่งออกที่กำลังเผชิญกับกำแพงภาษี

ค้าปลีกไทย

ขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกไทย ไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ต้องยืนหยัด และก้าวนำ ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ การตั้งรับ รุกกลับ และปรับตัวให้ทันอนาคต คือกุญแจสู่การฝ่าวิกฤติ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เหมาะสม

ส่องสถานการณ์ค้าปลีกครึ่งปีหลัง 2568 

ในปี 2567 ที่ผ่านมา ภาคค้าปลีกมีมูลค่าราว 4 ล้านล้านบาท โดยมี สัดส่วนมูลค่าใน GDP สูงเป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 16% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามพบว่ามีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยในช่วงปี 2567-2568 โตเฉลี่ย 3.4% เมื่อเทียบกับในช่วงปี 2565-2566 ที่โต 5.9%

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำแพงภาษีสหรัฐ กำลังซื้อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้า รวมถึงการแข่งขันรุนแรงกับแพลตฟอร์มค้าปลีกต่างชาติอย่างอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีมากกว่า 3.3 ล้านราย ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ ที่เข้ามาผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน

นอกจากนี้ ยังพบว่า ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรง ต้นทุนโลจิสติกส์ ค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ขณะที่ค้าปลีกยังคงเป็น เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ในการขับเคลื่อนภาคผลิต ภาคการบริโภค และภาคแรงงาน

ขณะเดียวกัน จากการที่นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนลดลง ในครึ่งปีหลังจึงจำเป็นต้องหา ตลาดทดแทน เช่น นักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul) หรือยุโรปมากขึ้น เช่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และตะวันออกกลาง เป็นต้น

ณัฐ
ณัฐ วงศ์พานิช

ค้าปลีก 2568 ปรับตัวสู่ดิจิทัลและความยั่งยืน

  • Convergence Commerce as the New Standard สร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อระหว่างช่องทาง Offline และ Online รวมถึงการผสานร้านค้ารายใหญ่และรายย่อยให้เป็นระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
  • AI Personalization Engine นำเสนอสินค้า โปรโมชั่น และประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่ละรายอย่างเฉพาะบุคคล (Personalization) ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อบริหารจัดการสต็อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มยอดขาย ลดปริมาณสินค้าคงคลังที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
  • Sustainable Retail ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม, ใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน

แนะ3S ตั้งรับ รุกกลับ ปรับตัว 

1. ตั้งรับ (Shield)

  • ป้องกันสินค้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ

ตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยระบบเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ และตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่วางจำหน่ายในประเทศอย่างเข้มงวด เช่น การมีมาตรฐาน มอก. และฉลากต้องเป็นภาษาไทย

  • ปราบปรามธุรกิจนอมินี

จำเป็นต้องเร่งหามาตรการเชิงรุกในการจัดการธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย รวมถึงป้องกันการสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐ (Re-Export) ส่งผลให้ไทยเกินดุลสหรัฐ

P3

 

2. รุกกลับ (Strike)

  • ค้าเสรีและเป็นธรรม

การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% กับสินค้าออนไลน์นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่บาทแรก (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี) โดยออกเป็นกฏหมายบังคับใช้เป็นการถาวร รวมถึงการปรับปรุงกฏหมายที่มีข้อจำกัดและไม่ครอบคลุมของการซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าไม่ได้มาตรฐานราคาถูกที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้บริโภคคนไทย

พร้อมกันนี้ ควรออกมาตรการรับมือกับสถานการณ์สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดไทย อันเนื่องมาจากปัญหาการผลิตสินค้าเกินความต้องการภายในประเทศจีน (Oversupply) ซึ่งจีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน

  • ช้อปปิ้งยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Instant Tax Refund)

เสนอการนำร่องมาตรการ Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป ต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับประเทศจีนที่ได้ประกาศใช้นโยบาย Instant Tax Refund 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท) นำร่องที่
เมืองท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว

  • เขตปลอดภาษีสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์

พิจารณาการลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง น้ำหอม โดยอาจเริ่มที่สินค้าสหรัฐก่อน โดยนำร่องทำแซนด์บ็อกซ์เป็นเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและเพิ่มศักยภาพให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของภูมิภาค

ทั้งนี้ การลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากสหรัฐ เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าไทย–สหรัฐ และสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพจากต่างประเทศ

3. ปรับตัว (Shape)

  • การลดทอนกฏระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน

ผลักดันมาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดกฎระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน เช่น การปรับลดจำนวนและขั้นตอนการขอใบอนุญาตหลายใบให้อยู่ในใบเดียว (Super License) และผ่านระบบกลาง (Biz Portal) ครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น ใบอนุญาตเปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร และใบอนุญาตก่อสร้าง

  • การสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย

ภาครัฐควรสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษี โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและพัฒนานวัตกรรมสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ พร้อมผลักดันให้ได้รับการรับรอง Made in Thailand จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายโอกาสในการส่งออก

ขณะเดียวกัน ควรส่งเสริมการมอบสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อการันตีคุณภาพอาหารไทยซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟต์เพาเวอร์ทั้งในและต่างประเทศ

  • การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี

การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่าน BOI เพื่อจูงใจนักลงทุนไทยให้ลงทุนในเมืองน่าเที่ยวศักยภาพสูง เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำ

นายณัฐ กล่าวว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมุ่งมั่นส่งเสริมผู้ประกอบการค้าปลีกทุกระดับ พร้อมขับเคลื่อนอีโคซีสเต็มของค้าปลีก ให้แข็งแกร่ง โดยเชื่อว่าหากทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกัน จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo