Economics

Krungthai COMPASS ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จีดีพีโต 2.5%

โดย WANPEN PUTTANONT 18 กุมภาพันธ์ 2568

Krungthai COMPASS คาดแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.5% เตรียมรับมือความเสี่ยงจากสงครามการค้า ขณะที่จีดีพีไตรมาส 4/2567 โต 3.2%

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2567 ขยายตัว 3.2% และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าขยายตัวได้ 0.4% โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจาก

การส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวต่อเนื่อง การส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ที่ 8.8% และขยายตัวในอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2565 โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนหนึ่งจากการเร่งส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลจากความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ด้านการท่องเที่ยวขยายตัวดีที่ 22.9% ตามจำนวนนักเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มาเลเซีย และอินเดีย

การลงทุนภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้น 39.4% โดยขยายตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการเร่งขึ้นทั้งการลงทุนก่อสร้างและเครื่องจักรเครื่องมือ

การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.4% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ตามการใช้จ่ายในทุกหมวดสินค้าที่ขยายตัวดี ยกเว้นการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะ ส่วนหนึ่งจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และสถาบันการเงินที่ระมัดระวังในการให้สินเชื่อใหม่

อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 โดยลดลง 2.1% ตามการหดตัวในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือที่หดตัว 1.7% โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มยานพาหนะเป็นสำคัญ ขณะที่การลงทุนก่อสร้างหดตัว 3.9% ตามการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย

เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้ 2.5%

เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้ 2.5% โดยแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกที่ขยายตัวดี 4.3%โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐ คาดว่าเป็นผลจากการเร่งส่งออกก่อนมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการค้าของสหรัฐ สินค้าที่ขยายตัวดี อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง

การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ 4.4% ท่ามกลางปัจจัยลบทั้งกำลังซื้อที่ยังไม่เข้มแข็ง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และภาวะอุทกภัย ส่วนหนึ่งจากผลดีของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

แม้ว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ แต่บางส่วนเป็นผลจากการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังจากที่มีการล่าช้าในปีงบประมาณก่อน

ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัว 1.5% จากการลงทุนในเครื่องจักร โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ เช่นเดียวกับภาคการก่อสร้างที่หดตัว 2.1% ตามกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่เข้มแข็ง

ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 สภาพัฒน์ยังคงการประมาณการณ์ว่าจะขยายตัวในช่วง 2.3% ถึง 3.3% (ค่ากลาง 2.8%) จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่

1. การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุน

2. แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน ตามการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนซึ่งคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง

3. การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อน covid-19

4. การขยายตัวต่อเนื่องของส่งออกสินค้า

อย่างไรก็ดี สภาพัฒน์มองว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ยังมีปัจจัยกดดันจาก 1. ภาวะผันผวนจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายกีดกันทางการค้า 2. ภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง และ 3. ความผันผวนในภาคเกษตร ประกอบกับปัญหาสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนสูง

เศรษฐกิจปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าคาดที่ 2.5% และต่ำกว่าระดับศักยภาพ แม้การส่งออกสินค้าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับไม่เห็นผลดีที่ชัดเจน

ทั้งนี้ สะท้อนผ่านดัชนี MPI ที่หดตัวในหลายหมวดสินค้า อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ สินค้าคงคลังที่ลดลงสูงและมี contribution ต่อ GDP ในปีนี้มากเป็นประวัติการณ์ทำให้ต้องเร่งติดตามพัฒนาการของความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่อาจกลายสภาพเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างใหม่ของเศรษฐกิจไทย

มาตรการกีดกันทางการค้าที่เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น และเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาจส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด โดยเฉพาะด้านการส่งออกสินค้าที่ Krungthai COMPASS คาดว่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงระดับ 6% ในไตรมาสแรกปี 2568 ก็อาจได้รับผลกระทบให้ขยายตัวได้ต่ำ

อีกทั้งอาจส่งผลให้ปัญหาการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงมากขึ้น ความเสี่ยงที่ทยอยชัดเจนมากขึ้นทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยมาตรการภาครัฐเพิ่มเติมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความผันผวน

บทวิเคราะห์โดย กฤษฏิ์ ศรีปราชญ์ Krungthai COMPASS

อ่านข่าวเพิ่มเติม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่