กรมขนส่งฯ เข้ม “สถานตรวจสภาพรถเอกชน” ต้องเปลี่ยนระบบวัดควันดำใหม่ ช่วยลดฝุ่น PM2.5 โดยเริ่มจากผู้ขอใบอนุญาตรายใหม่ก่อน ส่วนรายเดิมจะทยอยเปลี่ยนใน 3 ปี
นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคมนาคม กำชับให้กรมการขนส่งฯ เข้มงวดในการตรวจสภาพรถ เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถประเภทต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)
ในปลายปีนี้ กรมการขนส่งฯ จึงเตรียมออกประกาศกรม กำหนดให้เอกชนรายใหม่ที่จะขอในอนุญาตประกอบกิจการสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) จะต้องติดตั้งเครื่องมือวัดควันดำ ที่เป็นระบบวัดความทึบแสง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล เที่ยงตรง และแม่นยำ ถ้าหากผู้ประกอบการรายใดไม่ยอมติดตั้งระบบดังกล่าว กรมจะไม่ออกใบอนุญาตประกอบการให้
สำหรับสถานตรวจสภาพรถฯ ในปัจจุบัน ที่มีอยู่ 2,800 แห่งทั่วประเทศ ก็ต้องเร่งปรับเปลี่ยนระบบตรวจวัดควันคำ จากระบบกระดาษกรอง มาใช้ระบบวัดความทึบแสงแทนด้วย โดยที่ผ่านมากรมการขนส่งฯ และกรมควบคุมมลพิษ ได้เชิญสถานตรวจสภาพรถฯ ทั่วประเทศมาซักซ้อมความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยและระบุว่ายังไม่พร้อม เพราะต้องลงทุนกว่า 1แสนบาท
กรมก็ได้ชี้แจงว่า การปรับเปลี่ยนระบบเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดปัญหามลพิษควันดำ แต่ในเบื้องต้นยังจะไม่บังคับให้เปลี่ยนทันที โดยอาจให้ระยะเวลาการปรับตัวและค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนภายใน 3-5 ปี
“เราเข้าใจว่าผู้ประกอบการอาจจะมีภาระลงทุนเพิ่ม แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพราะระบบตรวจวัดด้วยกระดาษกรองนั้น ต่างประเทศเลิกกันนานแล้ว เพราะได้ค่าควันดำที่ไม่แม่นยำ และเพื่อลดผลกระทบเราจะให้สถานตรวจสภาพรถฯ ค่อยๆ ทยอยเปลี่ยน ซึ่งตามรอบใบอนุญาตประกอบการจะมีอายุ 3 ปี ในอนาคตหากสถานตรวจสภาพรถฯ รายใดครบอายุใบอนุญาต และต้องการมายื่นขอต่อใบอนุญาตใหม่ กรมจะกำหนดให้ต้องมีการติดตั้งเครื่องวัดแบบวัดความทึบแสงด้วย หากไม่ยอมติดตั้ง กรมก็จะไม่ต่อใบอนุญาตประกอบการให้” นายกมลกล่าว