“ไอเอ็มเอฟ” ประเมินภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทย ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป คาดปี 2568 โต 2.9% แนนเพิ่ม Policy Space มากขึ้น เห็นด้วยลดดอกเบี้ย เตือนความเสี่ยงความไม่แน่นอนการค้าโลก และความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 11-26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะผู้แทนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อประเมินภาพรวมภาวะเศรษฐกิจ และหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย รวมถึง กระทรวงการคลัง ธปท. และ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)
จากที่ไอเอ็มเอฟได้ประเมินภาพเศรษฐกิจประเทศไทย พบว่า ยังฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
แม้ในช่วงแรกของปีนี้ การเบิกจ่ายภาครัฐจะยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก เพราะความล่าช้าในการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่าย ประจำปี 2567 แต่ไอเอ็มเอฟคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัวได้ 2.7% และ 2.9% ในปี 2568 แรงหนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชนที่จะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนได้ดีขึ้น สอดคล้องกับประมาณการของ ธปท. และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย
อย่างไรก็ดี มองว่า ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมทั้งไทยด้วย โดยอาจจะมีผลกระทบต่อการส่งออก และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่ลดลง
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการเงินของประเทศได้ รวมถึงความเสี่ยงจากภาระหนี้ของเอกชน ที่อาจจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
สำหรับนโยบายการคลังนั้น ไอเอ็มเอฟมองว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้แล้ว ในระยะต่อไปการทำนโยบายจะต้องเน้นการสร้าง Policy Space มากขึ้น ซึ่งนโยบายการคลังขยายตัวได้น้อยกว่าแผนที่คาดไว้ แต่ก็ยังสามารถทำหน้าที่ในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และต้องรักษา Policy Space ไว้ หรือจัดสรรงบประมาณบางส่วนไปลงทุนในการเพิ่มการผลิตภาพ และปฏิรูปการคุ้มครองทางสังคม เพื่อทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างทั่วถึงมากขึ้น และลดสัดส่วนหนี้สาธารณะลงด้วย
สำหรับนโยบายการเงินนั้น ไอเอ็มเอฟเห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา และเห็นว่ายังสามารถลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เนื่องจากปัจจุบันความเสี่ยงในการก่อหนี้ใหม่อาจจะมีไม่มาก เพราะสินเชื่อชะลอตัว
ทั้งยังสนับสนุนการใช้หลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) และการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพในการชำระหนี้ โดยที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหา Moral Hazard ตลอดจนการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน และการทำกระบวนการล้มละลายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาหนี้ได้ และที่สำคัญคือนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่จะช่วยเรื่องการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ไอเอ็มเอฟ ยังพูดถึงเรื่องส่งเสริมการแข่งขัน การเปิดกว้าง การเพิ่มความซับซ้อนของสินค้าส่งออกให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากดิจิทัล ที่เป็นเทรนด์อยู่ในขณะนี้ รวมทั้งการเพิ่ม และพัฒนาทักษะใหม่ให้แก่แรงงาน อาจเปิดเสรีในภาคบริการเพิ่มขึ้น และเพิ่มการแข่งขันของ Governance ต่าง ๆ
รวมถึงยกระดับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถใช้โอกาสจากการเติบโตจากฝั่งดิจิทัล และกรีนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย สามารถรับมือกับความผันผวน และแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เร่ง 43 รัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายงบฯไตรมาสสุดท้าย ปี 2567 และไตรมาสแรก ปี 2568 ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เศรษฐกิจการคลัง เดือนต.ค. 2567 ดีขึ้น อานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยวขยายตัว และโครงการแจกเงินหมื่น
- ส่อง 43 รัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายงบลงทุนปี 2567 กว่า 1.9 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ 109%
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- Twitter: https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg