Economics

‘พาณิชย์’ เผยยอดธุรกิจตั้งใหม่ครึ่งปีแรกชะลอตัว แต่เชื่อทั้งปีทะลุ 9 หมื่นรายตามเป้า

“พาณิชย์” เผยยอดธุรกิจตั้งใหม่ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 46,383 ราย ลดลง 1.91% แต่เชื่อทั้งปีจะเพิ่มขึ้น 5-15% หรือประมาณ 90,000-98,000 รายตามเป้า

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.67) มีสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ รวมทั้งสิ้น 46,383 ราย ลดลงเล็กน้อย 903 ราย หรือลดลง 1.91% ทุนจดทะเบียนรวม 145,078.60 ล้านบาท ลดลง 66.15%

ยอดธุรกิจตั้งใหม่

ทั้งนี้ สาเหตุเหตุที่ทุนจดทะเบียนลดลงมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 66 เนื่องจากในช่วงนั้น มีบริษัทที่มูลค่าทุนจดทะเบียนเกิน 1 แสนล้านบาท ควบรวมกิจการและแปรสภาพจำนวน 2 บริษัท ได้แก่

  1. การควบรวมกิจการระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เดิม และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น เป็น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ใหม่ โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 138,208.40 ล้านบาท
  2. การแปรสภาพบริษัทจำกัด เป็น บริษัทมหาชน จำกัด ของ บมจ.บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีมูลค่าทุน 124,435.03 ล้านบาท จึงทำให้ทุนจดทะเบียนในปี 2566 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ส่วนแนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิจในปี 2567 นั้น ยังคงคาดการณ์การเติบโตของการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ที่ 5-15% หรือประมาณ 90,000-98,000 ราย ซึ่งมีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายของภาครัฐ การเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติที่มีการกระตุ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี เช่น มาตรการวีซ่าพำนักระยะยาว มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการผลิตและกิจการ รวมทั้งการลงทุนจากภาครัฐที่กำลังดำเนินการหลังจากที่เริ่มจัดสรรงบประมาณในปี 2567 การดำเนินการของภาครัฐทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม

รวมทั้งภาคการท่องเที่ยว ที่ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยที่สำคัญ ซึ่งจากแผนงานของภาครัฐที่มีนโยบายกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วง High Season ฤดูการท่องเที่ยวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนไทยสูงสุดของปี ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยก็นิยมท่องเที่ยวช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน น่าจะส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และธุรกิจอื่นๆ ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย และคาดว่าจะมีนักลงทุนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยท้าทาย เช่น ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เนื่องจากมีผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จากต่างประเทศที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและกระทบมาถึงเศรษฐกิจของไทย รวมทั้ง การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่ต้องเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับธุรกิจ SME โดยตรง โดยหากงบประมาณลงพื้นที่อย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และมีการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคโดยทันทีเช่นเดียวกัน

ยอดธุรกิจตั้งใหม่
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม

3 ประเภทธุรกิจจดทะเบียนสูงสุด

  1. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,656 ราย ทุน 16,013.34 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.88%
  2. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 3,521 ราย ทุน 7,255.18 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.59%
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,105 ราย ทุน 4,352.90 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.54%

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรก มีธุรกิจที่จดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ 6,039 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,058 ราย (ลดลง 14.91% ส่วนทุนจดทะเบียน 76,748.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27,143.63 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 54.72%) โดย 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 603 ราย ทุน 1,209.18 ล้านบาท
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 340 ราย ทุน 4,863.76 ล้านบาท
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 197 ราย ทุน 457.21 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการดังกล่าว ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีธุรกิจที่เปิดดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 922,508 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22,334,762.09 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) บริษัทจำกัด 719,281 ราย (77.97%) ทุน 16,110,875.13 ล้านบาท (72.14%) 2) ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 201,757 ราย (21.87%) ทุน 472,044.11 ล้านบาท (2.11%) และ 3) บริษัทมหาชนจำกัด 1,470 ราย (0.16%) ทุน 5,751,842.85 ล้านบาท (25.75%)

ยอดธุรกิจตั้งใหม่

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK