เล็งนำร่อง “อโศก – สุขุมวิท” ศึกษาเก็บค่าธรรมเนียมขับรถเข้าเมือง เงินที่ได้นำไปจัดตั้ง “กองทุนใหม่” ใช้อุดหนุนค่าโดยสารคนในพื้นที่ – ลงทุนรถไฟฟ้าต่อเนื่อง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยกับ The Bangkok Insight ว่า สนข. จะดำเนินการศึกษาเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมการขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพเพื่อลดปัญหาจราจรและจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น
เบื้องต้นคาดว่าจะสรุปขอบเขตของการศึกษาได้ภายใน 3 เดือนข้างหน้า จากนั้นจะดำเนินการศึกษาต่ออีก 1 ปี จึงสามารถสรุปผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ได้ในช่วงกลางปี 2563
กางโมเดล 3 ทวีปเทียบข้อดีข้อเสีย
ในการศึกษาครั้งนี้ สนข. จะเปรียบเทียบแนวทางการดำเนินงานของประเทศที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ประเทศในทวีปยุโรป เช่น สวีเดน, ประเทศในทวีปเอเชีย เช่น สิงคโปร์ และมหานครนิวยอร์กในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่งประกาศเก็บค่าธรรมเนียมไปเมื่อเร็วๆ นี้
โดยแนวทางของทั้ง 3 ประเทศล้วนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน จึงต้องนำจุดดีและปัญหาที่เกิดขึ้นกับแต่ละแห่ง มาวางแนวทางที่เหมาะสมกับประเทศไทย ทั้งประเด็นเรื่องการต่อต้าน มาตรการจูงใจ อัตราค่าธรรมเนียม เป็นต้น
นอกจากนี้ สนข. ยังได้รับความร่วมมือจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ในการศึกษาครั้งนี้ด้วย เพราะ GIZ สนใจเรื่องปัญหามลพิษ และที่ปรึกษาของ GIZ ก็เคยช่วยวางแนวทางการเก็บค่าธรรมเนียมในมหานครนิวยอร์กด้วย
เล็งนำร่องศึกษา “อโศก – สุขุมวิท”
เบื้องต้น สนข. คาดว่าจะใช้พื้นที่บริเวณอโศกและสุขุมวิท เป็นพื้นที่นำร่องในการศึกษา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาจราจรติดขัดและมีรถไฟฟ้าให้บริการ โดยการเก็บค่าธรรมเนียมการขับรถยนต์จะทำให้ประชาชนเข้าถึงพื้นที่ได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงต้องเลือกบริเวณที่มีระบบขนส่งสาธารณะพร้อมก่อน
การเก็บค่าธรรมเนียมจะใช้วิธีติดกล้องวงจรปิดและบันทึกป้ายทะเบียนของรถยนต์ที่เข้า – ออก จากนั้นจะส่งบิลเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไปให้เจ้าของรถยนต์ช่วงปลายเดือน โดยจะยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมจากรถขนส่งสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) และรถแท็กซี่ ด้านอัตราเก็บค่าธรรมเนียมยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
อุดหนุนค่าโดยสาร ชดเชยคนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม สนข. จะมีมาตรการดูแลประชาชนในพื้นที่ที่ถูกเก็บค่าธรรมเนียมควบคู่กันไปด้วย เช่น ผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำงานในบริเวณดังกล่าว เพราะต้องเดินทางเข้าออกพื้นที่เป็นประจำ แนวทางคือ นำเงินไปอุดหนุนค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย รวมถึงจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และพัฒนาพื้นที่ที่ถูกเก็บค่าธรรมเนียมอย่างเป็นรูปธรรม
“เชื่อว่าคนในพื้นที่จะได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะการจำกัดจำนวนรถยนต์จะทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและคนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์มากกว่าคนทั่วไป เช่น สิ่งอำนวยสะดวก เพียงแต่ยังไม่สามารถสรุปว่าจะออกมารูปแบบไหน” นายสราวุธกล่าว
ตั้งกองทุนใหม่เก็บเงินไปใช้ประโยชน์
นายสราวุธ กล่าวต่อว่า สำหรับค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บได้ จะถูกนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนใหม่ ที่มีภาครัฐเป็นผู้ดูแล โดยเงินกองทุนจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน
- ส่วนที่ 1 วงเงินที่นำไปดูแลประชาชนในพื้นที่ที่ถูกเก็บค่าธรรมเนียม
- ส่วนที่ 2 วงเงินที่นำไปดูแลสังคมในภาพรวม เช่น การลงทุนสิ่งอำนวยความสะดวก, สร้างที่จอดรถยนต์เพิ่ม, ซื้อรถเมล์ไฟฟ้าที่มีมลพิษต่ำ ถ้าหากวงเงินมากพอก็อาจนำไปลงทุนรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ได้ด้วย
รอรัฐบาลไฟเขียวค่อยเดินหน้าจริง
อย่างไรก็ตาม แนวคิดทั้งหมดยังเป็นเพียงการศึกษา ถ้าหากรัฐบาลเห็นว่าผลการศึกษาที่แล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563 เป็นแนวคิดที่ดี สนข. ก็ต้องเสนอผลการศึกษาให้กระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เห็นชอบตามขั้นตอน จากนั้นต้องรอความเห็นของรัฐบาลว่า ควรนำไปประยุกต์ใช้จริงเมื่อใด
“ถ้าระบบขนส่งสาธารณะดี คือไม่มีใครต่อต้าน ถามจริงๆ ปัจจุบันคนอยากขับรถมาทำงานแล้วก็ไปติดบนท้องถนนไหม คนไม่อยากหรอก เปลืองทั้งเวลา เสียค่าใช้จ่ายทั้งน้ำมัน ถ้าระบบมันดีจริงๆ คนไม่ต่อต้าน อาจจะใช้เวลาทำความคุ้นเคยและปรับตัว ภาครัฐก็ต้องพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มันดีขึ้น หรือเชื่อมล้อ ราง เรือ ให้มันสมบูรณ์แบบ คนสามารถเดินทางจากที่บ้านไปที่ทำงานให้มันสะดวก” นายสราวุธ กล่าว
วัยทำงานเตรียมตัว! ต่อไปขึ้น ‘รถไฟฟ้า’ ฟรี ออฟฟิศจ่ายตังค์