Economics

แก้ฝุ่นพิษ!! รัฐสูญรายได้1.3 พันล้านแลกลดภาษีรถกระบะ-รถยนต์ไฟฟ้า

ครม. ลดภาษีรถกระบะ แก้ปัญหาฝุ่นละออง แนะปรับเครื่องยนต์ เติมดีเซลบี 20 ปล่อยค่า PM ไม่เกิน 0.005 เก็บภาษีลดลง 1-2% พร้อมยกเว้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าก่อนปี 66 ยอมสูญเสียรายได้ 1,300 ล้านบาท แลกดูแลสิ่งแวดล้อมทางอากาศ 

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแนวทางลดการปล่อยมลพิษฝุ่น PM ด้วยการกำหนดอัตราภาษีควบคู่ไป กับหลักการปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ (CO2) ซึ่งได้จัดเก็บภาษีรถยนต์เดิมอยู่แล้ว และเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เพราะถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ

อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์

สำหรับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์กระบะ  ปัจจุบันจัดเก็บทั้งหมด 4 ประเภท ประกอบด้วย

1.รถกระบะไม่มีแค็ป (No Cab) ปัจจุบันมีการหากปล่อย CO2 ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี 2.5%  ขณะที่โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี 2.5%  และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ดีเซล  B20 เสียภาษี 2%

ส่วนรถกระบะไม่มีแค็ป แต่มีค่า CO2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี 4%  โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี 4% และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ B20 เสียภาษี 2%

โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์กระบะEEE

2.รถยนต์กระบะ (Space Cab) ปัจจุบันหากปล่อย CO2 ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี 4% โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี 4% และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ B20 เสียภาษี 3% ส่วนรถที่ค่า CO2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี 6% โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี 6% และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ B20 เสียภาษี 5%

 

3.รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ปัจจุบันหากปล่อย CO2 ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี 10% โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี 10%  และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ B20 เสียภาษี 9% ส่วนที่ค่า CO2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี13%  โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี13% และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ B20 เสียภาษี 12%

4.รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า หากปล่อย CO2 ไม่เกิน 175 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษี 8% โครงสร้างภาษีใหม่ ค่า PM เกิน 0.005 เสียภาษี 8% และค่า PM ไม่เกิน 0.005 หรือสามารถใช้ B20 เสียภาษี 8%

นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติปรับลดอัตราภาษีรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) หรือ EV โดยปรับลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอย่างเป็นรูปธรรรมและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย

รถอีวี

รถยนต์อีวี ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ เสียภาษี 8% อัตราภาษีใหม่ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 เสียภาษี 8%  อัตราภาษีระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 -31 ธันวาคม 2568 เสียภาษี 8%

รถยนต์อีวี ที่ได้รับการส่งเสริมการบีโอไอ ปัจจุบันเสียภาษี 2% ทำให้อัตราภาษีใหม่ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563-31 ธันวาคม 2565 จะได้รับการยกเว้นภาษีเหลือ 0% อัตราภาษีระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 -31 ธันวาคม 2568 เสียภาษี 2% โดยคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท

รถยนต์อีวี 01

ทั้ง 2 มาตรการยอมรับว่า การพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อส่งเสริมการลดค่า PM ให้น้อยลง และรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันดีเซล B20 มากขึ้น เพราะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลจะทำให้มีการปล่อยฝุ่นละอองจากรถยนต์ลดลง และยังลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศอีกทางหนี่ง  คาดว่าจะกระทรวงรายได้กรมสรรพสามิตหายไปประมาณ 1,300 ล้านบาท

มาตรการครั้งนี้ส่งผลดีให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถ ยนต์พัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยลดฝุ่น PM ให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 เร็วยิ่งขึ้น และปัจจุบันมาตรฐานยูโร 4 กำหนดให้ปล่อยฝุ่น PM ได้ไม่เกิน 0.025 กรัมต่อกิโลเมตร

ดังนั้น ภายใต้สมมติฐานกำหนดให้รถยนต์วิ่งระยะทาง 20,000 กิโลเมตรต่อปี ส่งผลให้รถยนต์ปัจจุบันปล่อยฝุ่น PM เท่ากับ 500 กรัมต่อคันต่อปี หากกำหนดให้มาตรฐานการปล่อยฝุ่น PM ได้ไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานยูโร 5 ส่งผลให้รถยนต์ดังกล่าวปล่อยฝุ่น PM ลดลงเท่ากับ 100 กรัมต่อคันต่อปี

ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2561 มีปริมาณรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู ชำระภาษีสรรพสามิต 190,000 คัน  มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้มีการลดฝุ่น PM ของรถยนต์ที่ชำระภาษีสรรพสามิตแต่ละปีลดลง 76 ล้านกรัมต่อปี

นอกจากนี้ ยังช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน และค่าใช้จ่ายภาครัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล โดยฝุ่น PM2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะสามารถเดินทางผ่านทางเดินหายใจสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย เพิ่มโอกาสของโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และต้องป้องกันด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานป้องกันฝุ่นขนาดเล็กโดยเฉพาะ ส่งผลกระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่รัฐจะต้องสูญเสียเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากมลภาวะทางอากาศนี้อีกด้วย โดยคาดว่าจะมีผลหลังจากลงในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม เป็นต้นไป

พชร อนันตศิลป์152627

ภาพจากกรมสรรพสามิตนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามอัตราการปล่อย CO2 ตั้งแต่ปี2559 บนหลักการด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก CO2 จากภาคการขนส่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เมื่อถูกเผาไหม้จึงปล่อย CO2 ในชั้นบรรยากาศก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุหลักให้เกิดสภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการการจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามอัตราการปล่อย CO2 จะมีส่วนช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหามลพิษจากท่อไอเสียที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นควันและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ได้แก่ รถยนต์กระบะ และรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab)

ปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ ต้องมีการทดสอบค่ามลพิษอ้างอิงมาตรฐานยูโร 4 กำหนดให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยฝุ่น PM ได้ไม่เกิน 0.025 กรัมต่อกิโลเมตร

ดังนั้นการใช้มาตรการภาษีเพื่อยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจากมาตรฐาน ยูโร 4 (PM ไม่เกิน 0.025) ปัจจุบันเป็นมาตรฐาน ยูโร 5 (PM ไม่เกิน 0.005) ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการปล่อยฝุ่นจากท่อไอเสียของรถยนต์ใหม่ จะส่งผลประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชนที่คุ้มค่ากับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับนโยบายสนับสนุนรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ให้ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าจากอัตรา 8% เหลือ 2%  ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีขนาดใกล้เคียงกัน  เห็นควรสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้มีอัตราภาษีพิเศษ

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight