Economics

‘นฤมล’ ชี้เศรษฐกิจไทยปี 66 เปราะบางตามโลก จี้รัฐเร่งแก้ไขหนี้ครัวเรือน เหลือไม่เกิน 80% ของจีดีพี

“นฤมล” มอง “เศรษฐกิจไทย” ปี 2566 เปราะบางตามเศรษฐกิจโลก คาดส่งออกโตแค่ 2.7% จี้รัฐเร่งแก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” อย่างยั่งยืน ต้องลดให้เหลือไม่เกิน 80% ของจีดีพี 

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ สะท้อนมุมมองถึงการรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจทุกสำนัก บอกตรงกันหมดว่า ปี 2566 เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย

หนี้ครัวเรือน

โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่ได้เห็นผลกระทบบ้างแล้ว เดือนพฤศจิกายน 2565 ส่งออกไทยหดตัวไป 6% โดยทั้งปี 2565 ส่งออกไทย น่าจะขยายตัวแค่ 3.2% น้อยกว่าปี 2564 ที่ 6% ส่วนปีหน้า 2566 คาดว่าส่งออกไทย จะขยายตัวเพียง 2.7% เท่านั้น

ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ภาวะการเงินในตลาดโลกยังเปราะบาง แต่ในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงสุด และความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยลดลง

ปัจจัยเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อในปี 2566 จึงไม่มากเท่าที่เป็นมาในปี 2565 ประกอบกับสถานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ยังเข้มแข็ง อีกทั้งรัฐบาลไทยมีหนี้ต่างประเทศในระดับต่ำ และไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง ตลาดการเงินไทยจึงยังถือได้ว่ามีเสถียรภาพสูง และสามารถรองรับความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วงในปี 2566 คือ ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง และธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทั้งที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน และที่เป็นหนี้ non-bank

มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการเสริมเฉพาะจุดในการช่วยลดค่าครองชีพ และเพิ่มรายได้ จึงยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่องในปี 2566

ปัญหาหนี้ครัวเรือน จำเป็นต้องใช้นโยบายที่แก้ไขอย่างยั่งยืน เมื่อดูสถิติย้อนหลัง จะพบว่าตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมากในปัจจุบัน เกิดขึ้นใน 2 ช่วงเวลาด้วยกัน คือ

1. วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนั้น ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มจาก 60% ของจีดีพีในปี 2553 เป็น 80% ของจีดีพีในปี 2557 และ

2. ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจหดตัว นโยบายพักหนี้ และส่งเสริมการให้สินเชื่อ เพื่อประคองเศรษฐกิจ ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 80 % ของจีดีพีในปี 2562 เป็น 90% ของจีดีพีในปี 2565

หนี้ครัวเรือน

นโยบายแก้หนี้ครัวเรือน ถ้ายังทำแต่เรื่องพักหนี้ และเติมสินเชื่อ โดยไม่กำหนดเป้าหมายหนี้ครัวเรือนที่ชัดเจน นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้แล้ว ยังจะทำให้ครัวเรือนติดกับดักภาระหนี้ ทำให้ปัญหาฝังรากลึกลงไปอีก

เป้าหมายหนี้ครัวเรือนควรกำหนดให้ไม่เกิน 80% ของจีดีพี เพราะระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่านั้น แทนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะกลับส่งผลลบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2566 ต้องคำนึงถึงผลลบนี้ด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo