‘หั่นดบ.- เพิ่มวงเงิน’ แบงก์ชาติออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ลดผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ลดลงสูงสุดถึง 4% เริ่มสิงหาคมนี้
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ธปท. ได้มี มาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาเป็นลำดับ ซึ่ง มาตรการ ต่าง ๆ นั้นจะทยอยครบกำหนดแล้ว
ธปท. จึงได้หารือกับผู้ให้บริการทางการเงิน ประกอบด้วย สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สมาคม และชมรม ของผู้ให้บริการทางการเงินรวม 9 แห่ง ออกมาตรการ เพิ่มเติมระยะที่ 2 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ซึ่งรวมถึง การ ‘หั่นดบ.- เพิ่มวงเงิน’ ดังนี้
ปรับลดเพดานดอกเบี้ยเป็นการทั่วไป ร้อยละ 2 – 4 ต่อปี
สำหรับบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับ มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2563 แบ่งออกเป็น
- บัตรเครดิต จาก 18% เหลือ 16%
- สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีวงเงินหมุนเวียน จาก 28% เป็น 25%
- สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ผ่อนชำระเป็นงวด จาก 28% เหลือ 25%
- สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จาก 28% เหลือ 24%
เพิ่มวงเงินบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียน หรือที่ผ่อนชำระเป็นงวด
สำหรับลูกหนี้ที่มีความจำเป็นต้องใช้วงเงินเพิ่มเติม และมีพฤติกรรมการชำระหนี้ ที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท ขยายวงเงินจากเดิม 1.5 เท่า เป็น 2 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน เป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2563
มาตรการขั้นต่ำเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ขยายขอบเขตและระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และไม่เป็น NPLs ณ วันที่ 1 มีนาคม 2563 โดยผู้ให้บริการทางการเงิน ต้องจัดให้มีทางเลือกความช่วยเหลือขั้นต่ำให้ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบได้เลือกตามประเภทสินเชื่อ เช่น การผ่อนชำระขั้นต่ำ การเปลี่ยนสินเชื่อระยะสั้นเป็นระยะยาว การลดค่างวด การเลื่อนชำระค่างวดหรือเงินต้น เป็นต้น
กำหนดให้ผู้ให้บริการทางการเงินต้องอำนวยความสะดวก รวมทั้งให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอ ต่อการตัดสินใจของลูกหนี้ เช่น เปรียบเทียบภาระหนี้เดิม และหนี้ใหม่ จำนวนหนี้ และจำนวนงวดที่เพิ่มขึ้น และดอกเบี้ย ที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเพิ่ม จากการขอเลื่อนชำระหนี้
การช่วยเหลือตาม มาตรการ ขั้นต่ำข้างต้น จะไม่ถือว่าเป็นการผิดนัดชำระหนี้ จึงไม่สามารถเรียกเก็บเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และในกรณีที่ ลูกหนี้ประสงค์จะชำระหนี้ก่อนกำหนด จะต้องไม่มีการคิดค่าเบี้ยปรับ (prepayment fee)
ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของผู้ให้บริการทางการเงิน เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center หรือส่งข้อความ SMS ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 จนถึง 31 ธันวาคม 2563
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ผู้ให้บริการทางการเงิน ต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้ลูกหนี้ เช่น โดยการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เปลี่ยนสินเชื่อจากระยะสั้น เป็นระยะยาว เลื่อนการชำระค่างวด ลดดอกเบี้ย และกรณีลูกหนี้ี่ได้รับผลกระทบจนเป็น NPLs ขอให้พิจารณาชะลอการยึดทรัพย์
ธปท. เชื่อมั่นว่ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมระยะที่ 2 นี้ จะทำให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ลดภาระหนี้และโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถบริหารจัดการความเสี่ยง และมีวิธีปฏิบัติต่อลูกหนี้ในแนวทางเดียวกัน ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เก็บเงินเตรียมรับความเสี่ยง! ‘ธปท.’ ขอแบงก์งดจ่ายปันผลระหว่างกาล
- ‘ธปท.’ เผยซอฟต์โลนแบงก์ชาติ กำชับแบงก์เร่งยื่นเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้
- เช็คด่วน! ‘ธปท.’เปิด 4 มาตรการช่วยเหลือ SMEs – รักษาเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน