Branding

ส่งออกวูบฉุดรายได้ ‘เอสซีจี เซรามิกส์’ ปรับใหญ่ ‘คลังเซรามิค-รุกเมียนมาร์’

ผลกระทบเศรษฐกิจโลก ฉุดรายได้ เอสซีจี เซรามิกส์ ลดลง 4% ผลจากส่งออกวูบ 23% เร่งปรับแผนเผชิญความท้าทายจากปัจจัยลบที่ยังมีต่อเนื่องในปีนี้ ด้วยการปรับโมเดล “คลังเซรามิก” พร้อมเร่งเครื่องขยายตลาดส่งออกเพื่อนบ้าน เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา หวังโต 3-5% ถ้าไม่มีปัจจัยลบเพิ่ม

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO), โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีแห่งความท้าทาย เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าหากไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เพิ่ม บริษัทน่าจะเติบโตได้ 3-5% “แต่หากมีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาก็อาจส่งผลให้รายได้ปี 2563 อยู่ในภาวะทรงตัว

5

ทั้งนี้ ปัจจัยลบสำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2562 และต่อเนื่องถึงปีนี้คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของสงครามการค้า รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกลดลงถึง 23%  โดยในปี 2562 บริษัทมีรายได้จากการส่งออก 1,946 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18% จากรายได้รวม โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 1,370 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 50% เป็นยอดขายมาจากเมียนมาร์เป็นหลัก ตามด้วยกัมพูชาและลาว

“ค่าเงินบาทและสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ส่งผลกระทบกับยอดขายกระเบื้องเซรามิกในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศอื่น ๆ ที่นอกเหนือจาก กัมพูชา ลาว และ พม่า ดังนั้น ในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับตลาดที่ยังเติบโตและมีโอกาสขยายตัว โดยเฉพาะในเมียนมาร์ ด้วยการวางยุทธศาสตร์เป็น “Second Thailand” นั่นคือ จะทำการตลาดในเมียนมาร์เหมือนในประเทศไทย เพื่อสร้างยอดขายทดแทนในตลาดที่หดตัว

4

ขณะที่ยอดขายรวมในปี 2562 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 11,074 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ประมาณ 4% แต่มีมีกำไรสุทธิรวม 168 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 158 ล้านบาท  เนื่องจากได้อานิสงส์ต้นทุนการผลิตที่ลดลงตามราคาก๊าซธรรมชาติ รวมถึงความสามารถในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ประกอบกับสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้าหมาย และมีกำไรจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน

อย่างไรก็ตาม สำหรับรายได้ที่ลดลงนั้น นอกจากผลกระทบจากตลาดส่งออกแล้ว ยังเป็นผลมาจากการที่มีรายจ่ายพิเศษเกิดขึ้นในปี 2562 จากการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มีการควบรวมโยกย้ายฐานการผลิต และให้พนักงานลาออกตามความสมัครใจ ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีพนักงานเลย์ออฟประมาณ 300 คน จึงเกิดค่าใช้จ่ายจากการจ่ายชดเชยพนักงาน แต่ผลที่ได้กลับมาคือ สามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น เห็นได้จากผลกำไรที่เพิ่มขึ้น

6

นายนำพลยังกล่าวถึงแผนงานในปีนี้ว่า จะเน้นการดำเนินงาน 3 เรื่องหลักเพื่อเผชิญความท้าทาย ได้แก่ 1.การพัฒนาสินค้าเพื่อรองรับเทรนด์สังคมสูงวัย โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นความปลอดภัย 2. เร่งการเติบโตในตลาดที่มีแนวโน้มและมีศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดเมียนมาร์ และ 3.การปรับโมเดลธุรกิจ “คลังเซรามิค”ใหม่

สำหรับการพัฒนาโมเดล คลังเซรามิค นั้น ได้ปรับสู่ “คลังเซรามิค แฟมิลี” โดยจากเดิมที่บริษัทเป็นผู้ลงทุนและบริหารเอง ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 25 สาขา จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ เพื่อเปิดสาขา “คลังเซรามิค” ร่วมกัน ทำให้สามารถใช้จุดแข็งที่แต่ละฝ่ายมานำมาใช้สร้างความสำเร็จ นั่นคือ บริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ครอบคลุมตลาดทุกระดับ ขณะที่ผู้แทนจำหน่ายมีฐานลูกค้าและความสัมพันธ์กับผู้บริโภคในพื้นที่และมีทำเลที่ตั้งของร้านเหมาะสม

2 6

การปรับโมเดล คลังเซรามิค ใหม่ครั้งนี้ ยังช่วยให้บริษัทสามารถขยายสาขาได้ในอัตราที่เร็วขึ้น และลดจำนวนเงินลงทุนจากเดิมอยู่ที่สาขาละ 6-10 ล้านบาท เหลือสาขาละ 3-5 ล้านบาท เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าสถานที่ โดยปีนี้บริษัทวางเป้าหมายลงทุนเปิดคลังเซรามิคเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15 สาขา คาดใช้งบกว่า 40-90 ล้านบาท จากงบลงทุนรวมในปีนี้ที่ตั้งไว้ 400-500 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายเปิดคลังเซรามิค ได้ครบ 100 สาขา ภายใน 3-5 ปีนับจากนี้

Avatar photo