ในยุคที่ค้าปลีกท้องถิ่นเผชิญการดิสรัปชั่นจากการสยายปีกของค้าปลีกจากส่วนกลาง จนภาพปรากฏชัดระดับหนึ่งแล้วว่า ใครคือตัวจริง ที่สามารถยืนหยัดต่อสู้ในสังเวียนค้าปลีกได้ หนึ่งในนั้นคือ ธนพิริยะ ที่เติบใหญ่จากโชห่วยเล็กๆ ผงาดสู่โมเดิร์นเทรดท้องถิ่น ด้วยการขยายสาขาถึง 26 สาขาใน 3 จังหวัดภาคเหนือตอนบน และยังเป็นค้าปลีกท้องถิ่นรายแรกที่สามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้
นางอมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฎิบัติการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP เปิดเผยว่า นับแต่วันที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จนถึงวันนี้ผ่านไป 4 ปี สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ Mindset หรือวิธีคิดที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากเดิมที่คิดว่าทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ประกอบการค้าปลีกท้องถิ่นรายเล็กๆ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ สุดท้ายเป็นความท้าทายที่เราทำได้
สิ่งสำคัญคือ ทำให้รู้ว่า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ออกจากราชการมาทำค้าปลีกเต็มตัว 5 ปีแรก มีคนบอกว่า โชห่วยตายแน่ ทำให้เราต้องลุยและสู้เต็มที่จนถึงวันนี้ ถือว่าเราประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
การทำธุรกิจของธนพิริยะ สิ่งที่ได้เรียนรู้และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจคือ ทำให้ได้รู้ว่า ธุรกิจสถานะที่แท้จริงเป็นอย่างไร จากเดิมที่ทำธุรกิจกันเอง ไม่มีการตรวจสอบ จะเห็นแต่เงินสดที่เข้ามาจากการขายสินค้า แต่ไม่รู้ตัวเลขกำไรที่แท้จจริง เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ตระหนักว่า เงินไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุด แต่สิ่งที่ได้คือการขยายสาขาอย่างยั่งยืนและได้ระบบการบริหารจัดการที่ดี ที่จะส่งผลเอื้อต่อการขยายธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ ยังได้แนวคิดเรื่อง Fair Value รู้ว่าตลาดไม่ใช่ของเราคนเดียว หรือของรายใดรายหนึ่ง ต้องรวมตัวกันเพื่อให้อยู่รอดได้ทั้งหมด มีการแบ่งปันกัน ช่วยเหลือและร่วมกันทำให้ทุกคนโตไปด้วยกัน เห็นได้จากการที่ธนพิริยะ มีความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ หรือผู้ประกอบการด้วยกัน ในการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ช่วยพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะซัพพลายเออร์ ที่ปัจจุบัน เข้ามาร่วมมือและช่วยเหลือค้าปลีกท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลในช่องทางการขาย
ก้าวเดินของธนพิริยะ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,448 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,598 ล้านบาท และ 1,780 ล้านบาท ในปี 2560 และ ปี 2561 ตามลำดับ ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้แตะ 2,000 ล้านบาท
ปัจจุบันสาขาของธนพิริยะจำนวน 26 สาขา แบ่งเป็นสาขาในจังหวัดเชียงราย 22 สาขา, พะเยา 3 สาขา และเชียงใหม่ 1 สาขา และมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมองเห็นโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ที่แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่โอกาสจะมาจากการขยายตัวของเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรถไฟความเร็วสูงเข้ามาถึงเชียงราย จะเป็นการเพิ่มโอกาสอีกมหาศาล จากการลงทุนและประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะเห็นภาพนี้ภายใน 3 ปีนับจากนี้
ทั้งนี้ จากโอกาสการเติบโตของค้าปลีกเชียงราย ทำให้ธนพิริยะต้องเตรียมแผนธุรกิจไว้รองรับ หนึ่งในนั้นคือ การขยายสาขาที่มีขนาดเล็กลง หรือเป็นมินิมาร์ท, เอ็กซ์เพรส ขนาดประมาณ 200-300 ตารางเมตร เพื่อให้สามารถขยายสาขาได้เร็วขึ้น จากปัจจุบันฟอร์แมทของธนพิริยะที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต จะอยู่ที่เล็กสุด 300 ตารางเมตร ถึงขนาดใหญ่ 1,000 ตารางเมตร
“การทำไซส์ใหญ่รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต นอกจากพื้นที่ร้านแล้วยังต้องมีพื้นที่เก็บสต็อกสินค้า ทำให้เงินลงทุนสูง แต่สำหรับขนาดเล็กลงรูปแบบมินิมาร์ทหรือ คอนวีเนียนสโตร์ จะทำให้ไม่ต้องมีพื้นที่เก็บสต็อกมากนัก เงินลงทุนลดลง”
ประกอบกับ ธนพิริยะได้ลงทุนสร้างโกดังเก็บสินค้า ที่สามารถรองรับสาขาได้ถึง 55 สาขา ซึ่งจะเข้ามารองรับแผนขยายร้านขนาดเล็กโดยสามารถจัดส่งสินค้าไปยังร้านได้ทันที ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่มีอยู่แล้ว รวมไปถึงการลงทุน 160 ล้านบาทวางระบบหลังบ้าน ทำให้สามารถขยายธุรกิจได้ทันที
สำหรับร้านค้าขนาดเล็กที่จะขยายไปครั้งนี้ ผู้บริหารธนพิริยะบอกว่า เรียกได้ว่าเป็นกึ่งเซเว่นอีเลฟเว่น เพราะจะเพิ่มสินค้าอาหารพร้อมทานเข้าไปจำหน่ายในร้านด้วย จากปัจจุบันที่ธนพิริยะในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต จะเน้นสินค้าอุปโภค และอาหารแห้งเป็นหลัก โดยรูปแบบการขยายสาขาขนาดเล็กจะดำเนินการภายใต้ชื่อใหม่ และจะมีทั้งสาขาที่บริษัทลงทุนเอง และรูปแบบการขายแฟรนไชส์
ปีหน้าเมื่อ ธนพิริยะ คลอดร้านค้ารูปแบบใหม่ไซส์เล็ก ออกมาทำตลาด เชื่อว่าจะได้เห็นการแข่งขันที่ร้อนแรงขึ้นในเซ็กเมนต์คอนวีเนียนสโตร์แน่นอน เพราะกล่าวได้ว่า เป็นการเปิดฉากพร้อมรบครั้งสำคัญในธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็งมากพอที่จะต่อกรกับยักษ์ใหญ่อย่าง เซเว่นอีเลฟเว่นได้
สิ่งสำคัญคือ กลยุทธ์ที่ทำให้ ธนพิริยะ ประสบความสำเร็จ นั่นคือ “ราคาถูกจริง ช้อปปิ้งถูกใจ อยู่ใกล้บ้านคุณ” หากนำคอนเซ็ปต์นี้มาใช้กับร้านไซส์เล็ก เชื่อว่า ผู้นำตลาดอาจมีหนาวได้ เพราะราคาถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับภาวะเศรษฐกิจเช่นปัจจุบัน อีกทั้งการเป็นค้าปลีกท้องถิ่นที่รู้ใจคนในท้องถิ่นด้วยกันก็ถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญเช่นกัน
