Auto

ทำความรู้จัก ‘มายบัค’ รถหรูระดับ ‘อัครมหาเศรษฐี’

 

หากพูดชื่อ “มายบัค” (Maybach) ขึ้นมา เชื่อแน่ว่า คนในแวดวง หรือผู้ที่รักการเล่นรถยนต์ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี ในฐานะรถยนต์หรูหรา ที่ไม่ใช่แค่มีฐานะร่ำรวยธรรมดาเท่านั้น แต่จะต้อง “รวยระดับพันล้าน” ถึงจะมีมาไว้ในครอบครองได้ 

รถยนต์จากแบรนด์มายบัค ถูกยอมรับว่าเป็นสุดยอดแห่งศิลปะวิศวกรรมยานยนต์เสมอมา  ตั้งแต่บริษัท มายบัค โมโตเรนบาว (Maybach-Motorenbau GmbH)  เริ่มเปิดตัวรถยนต์คันแรกในปี 2464 ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ทั่วโลกต่างผสานรวมชื่อ มายบัค เข้ากับประสิทธิภาพ ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว อันหรูหราสมบูรณ์แบบ

shutterstock 272501300

มายบัค รถยนต์หรูสัญชาติเยอรมนี มีประวัติเก่าแก่มาอย่างยาวนาน ย้อนหลังไปได้ไกลกว่ายุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดย 2 พ่อลูกชาวเยอรมัน วิลเฮล์ม และ คาร์ล มายบัค  ซึ่งในช่วงแรกของการก่อตั้งนั้น มายบัคไม่ได้เป็นบริษัทที่มีเป้าหมายเพื่อการผลิตรถยนต์ แต่เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน สำหรับเรือเหาะเซพเพอลีน (Zeppelin)

จากนั้น ในช่วงสงครามโลกครั้ง 2 มายบัคได้หันไปผลิตรถยนต์ และเครื่องยนต์ ให้กับกองทัพเยอรมนี ทั้งยังผลิตเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับรถไฟ เช่น เครื่องเยอรมัน วี200 และบริติชเรล คลาส 52 ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี

ในยุค 20 และยุค 30 ของศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์จากแบรนด์มายบัค ถือได้ว่าเป็นรถหรูที่งดงาม โอ่อ่าและมีค่ามากที่สุด ทั้งยังเป็นสุดยอดผู้นำทางด้านเทคโนโลยี และแม้ในปัจจุบันผู้ขับขี่รถยนต์ต่างก็ยังคงปรารถนาที่จะครอบครองหนึ่งในรถยนต์ที่ดีที่สุดของโลกคันนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อมายบัค หันมาผลิตรถยนต์อย่างจริงจัง กลับแข่งขันไม่ได้ ทำให้เจ้าของ และผู้ก่อตั้ง ตัดสินใจที่จะขายกิจการให้กับ “เดมเลอร์ เบนซ์” ในปี  2503 ตามด้วยการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น มายบัค เมอร์เซเดส เบนซ์ โมโตเรนบาว (Maybach Mercedes-Benz Motorenbau GmbH)  และในปี  2512 ได้กลายมาเป็น MTU Friedrichshafen

m2

เดมเลอร์เข้าถือหุ้นใหญ่ในมายบัค ภายใต้แนวคิดที่จะพัฒนารถยนต์แบรนด์นี้ ให้มีความหรูหราในทุกรูปแบบ เพื่อแข่งขันกับโรลส์รอยซ์ และเบนท์ลีย์ ค่ายรถยนต์อังกฤษ

ในช่วงแรกที่มาอยู่ภายใต้การบริหารของเจ้าของใหม่นั้น มายบัค ได้กลับมาสร้างรถยนต์หรูหราอีกครั้งหนึ่ง คือรุ่น มายบัค 57 และมายบัค 62 ซึ่งใช้โครงรถของเมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น เอส คลาส เป็นฐานหลัก แต่ขยายขนาดฐานล้อให้ยาวขึ้น  โดยทั้ง 2 รุ่นนี้มีลักษณะเหมือนกัน แต่แตกต่างกันเฉพาะตรงความยาวของตัวถังรถ

อย่างไรก็ดี ในปี 2554 เมอร์เซเดส-เบนซ์  ประกาศยุติสายการผลิตมายบัค ในปี 2556 เนื่องจากมียอดขายน้อยเมื่อเทียบกับโรลส์-รอยซ์  ก่อนที่ในปี 2558 จะตัดสินใจคืนชีพแบรนด์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ในชื่อ “เมอร์เซเดส มายบัค” โดยมี “เอส500 และ เอส600” เป็นรถยนต์หรู 2 รุ่นแรก สำหรับการคืนชีพแบรนด์

เอส 500 และเอส 600 เปิดตัวครั้งแรกที่งานลอสแองเจลิส ออโต้โชว์ ในสหรัฐ และที่กวางโจว ออโต้โชว์ ของจีน โดยเคาะค่าตัวเริ่มต้นที่ 134,053 ยูโร สำหรับรุ่นเอส 500 และ 187,841 ยูโร สำหรับเอส 600

มายบัค เหนือกว่าด้วยการตกแต่งภายใน

ดีไซน์ภายใน ยังคงเน้นการผสมผสาน ความหรูหรา ความนุ่มสบายขณะขับขี่ และ ความกว้างขวาง เข้าไว้ด้วยกัน  เพิ่มเติมความเหนือ ด้วยระบบมัลติมีเดียอันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบ COMAND Online เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และระบบ นำทาง (navigation system) พร้อมรีโมทควบคุมสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, เครื่องเล่นดีวีดีแบบ 6 แผ่น (DVD Changer)

มายบัค

ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ระบบเครื่องเสียงแบบ Burmester® high-end 3D surround sound system, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad, ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมด้านหน้า (Head-up display) และระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมจอแสดงผล 2 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ เบาะนั่งคู่หน้า และคู่หลัง ริมหน้าต่าง มีฟังค์ชั่นอุ่นเบาะนั่ง และระบายอากาศ พร้อมทั้งสามารถปรับระดับได้ ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ โดยเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า สามารถปรับเลื่อนไปด้านหน้าได้มากกว่าปกติ 4 เซนติเมตร และเลื่อนขึ้นด้านบนได้อีก 3.7 เซนติเมตร

เบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบ multi-contour  มาพร้อมระบบที่นั่งแบบ First Class และโต๊ะทำงานแบบพับได้ ฟังก์ชั่นนวด ENERGIZING สำหรับเบาะด้านหลัง ที่ใช้หลักการนวดผ่อนคลายเหมือนการใช้หินร้อน สามารถเลือกโปรแกรมนวดได้ 6 รูปแบบ

เพิ่มความสบายในการพักผ่อนด้วยที่รองขาปรับระดับได้ สำหรับผู้โดยสารด้านหลังซ้าย–ขวา, ตู้เย็นภายในรถยนต์บริเวณที่นั่งด้านหลัง, ม่านบังแดดประตูหลังซ้าย–ขวา และด้านหลัง ที่สามารถปรับเลื่อนขึ้น–ลงด้วยระบบไฟฟ้า, ฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร,ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC หน้า–หลัง

ทั้งยังช่วยเติมเต็มทุกบรรยากาศการขับขี่ ด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่มีให้เลือกถึง 7 สี ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ รวมถึงความเข้มอ่อนของแสงได้ 5 ระดับ

มายบัค

รถยนต์ยังถูกออกแบบให้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยและความสะดวกสบายสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system และ PRE-SAFE impulse system, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง (PRE-SAFE rear system) ที่มาพร้อมกับเข็มขัดนิรภัยแบบถุงลม เพื่อลดแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และหัวล็อคเข็มขัดนิรภัยแบบเรืองแสง

ถุงนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับผู้โดยสารคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะสำหรับผู้โดยสารทั้ง 4 ตำแหน่ง,

โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program – ESP), ฟังก์ชั่นช่วยการทรงตัวขณะเร่งแซงทางโค้ง (Curve Dynamic Assist), ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind Assist), ระบบช่วยเบรก (Brake Assist – BAS), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE

พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (Adaptive Brake Lights), ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Acceleration skid control –ASR), สัญญาณป้องกันการโจรกรรม พร้อมระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในรถ, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (ATTENTION ASSIST)

มายบัค

ปัจจุบัน รถยนต์สุดหรูสัญชาติเยอรมนีแบรนด์นี้ กลายเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดจีน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว นำรถยนต์หรูหรานี้ไปใช้เป็นลิมูซีน โดยเมื่อปีที่แล้ว มายบัคมียอดขายในแดนมังกรสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 12,000 คัน

มายบัครุ่นล่าสุด มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 173,000 ดอลลาร์ และอาจพุ่งขึ้นไปสูงกว่า 250,000 ดอลลาร์ หากเพิ่มออปชั่นเสริมต่างๆ

นอกจากจีน ที่มียอดขายพุ่งขึ้นถึง 2 เท่าแล้ว  มายบัคยังมียอดขายที่แข็งแกร่งในตลาดรัสเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐ

มายบัค

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo