Business

ความหวังท่องเที่ยวไทย ‘กรุงไทย’ ประเมินฟื้นตัวชัดเจนปี 67 มูลค่า 2.4 ล้านล้าน

กรุงไทย คาดท่องเที่ยวไทยจะทยอยฟื้นตัวในปี 2566 และฟื้นตัวชัดในปี 2567 อานิสงส์เปิดประเทศ นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการเดินทางหลังอั้นมานาน 2-3 ปีจากโควิด

กรุงไทย คอมพาส (Krungthai COMPASS) รายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ว่าจะกลับสู่ระดับปกติได้ในช่วงปลายปี 2567 โดยไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สะท้อนจากการสำรวจของ Condé Nast Traveler นิตยสารด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ ที่ชี้ว่าไทยติดอันดับ 3 ของประเทศที่น่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก

ท่องเที่ยวไทย

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2565 ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ตลาดการท่องเที่ยวไทยมีมูลค่า 6.5 แสนล้านบาท ขยายตัวกว่า 341.4% แต่ยังคิดเป็น 33% ของช่วงเดียวกันในปี 2562 เท่านั้น

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดการท่องเที่ยวในปี 2565 มีมูลค่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากรายได้นักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก และยังต่ากว่าปี 2562 ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 2.7 ล้านล้านบาท อย่างเห็นได้ชัด

รายได้ 65

Krungthai COMPASS คาดว่าในปี 2566-2567 ภาคการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด จาก 4 ปัจจัยหนุน ดังนี้

 

ประการที่ 1 นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ แห่เที่ยวไทยหลังเปิดประเทศ

นักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ อาทิ มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เป็นหลัก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ที่เดินทางมาไทย 3.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 63.7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นผลจากการเปิด
ประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง

โดยเฉพาะการผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพรมแดน ที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย โดยเฉพาะมาเลเซีย เริ่มเดินทางกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทยต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการท่องเที่ยวในประเทศตนเอง รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวมีความน่าสนใจ
มากกว่า

ต่างชาติระยะสั้น

ในปี 2566 คาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ เช่น มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย ก่อนที่นักท่องเที่ยวที่เป็นตลาดหลักอย่างจีนจะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้ในปี 2567

จากข้อมูลปี 2562 พบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ที่ฟื้นตัวในปัจจุบัน มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปต่ำกว่า
ค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม มักมีพฤติกรรมในการพำนักในไทยเฉลี่ยประมาณ 2-5 วัน ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปไม่สูงนัก

ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ชี้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้จะมีค่าใช้จ่ายต่อทริปประมาณ 25,000-38,000 บาทต่อคน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 41,240 บาทต่อคน ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักอย่างชาวจีน และชาวยุโรปจะมีระยะเวลาพำนัก 7-8 วัน และ 17 วัน ตามลำดับ

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉลี่ยในปี 2565 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 37,458 บาทต่อคน หรือลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ประการที่ 2 นักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มอื่นๆ ก็พร้อมที่จะเดินทางหลังอัดอั้นมานานกวา่ 3 ปี

Krungthai COMPASS มองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มอื่น ๆ มีความต้องการเที่ยวสะสมมา ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 และพร้อมที่จะปลดปล่อยในช่วงปี 2566-2567

แม้ในปัจจุบันการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยจะมาจากนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนเป็นหลัก และในปี 2566 ก็คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอาจยังไม่กลับมาในระดับปกติ แต่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มอื่น ๆ ในภาพรวม ยังคงมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศมากว่า 2-3 ปี

มูลค่าท่องเที่ยว

สอดคล้องกันกับงานวิจัยของ Euromonitor International เมื่อ ตุลาคม 2565 ที่ระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566-2567 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศทั่วโลก และอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกอยู่ในระดับสูง

ข้อมูลดังกล่าวยังสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ยังมั่นใจว่าตลาดการท่องเที่ยวจะกลับมาสดใสอีกครั้งหลังโควิด-19 คลี่คลาย

ประการที่ 3 นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่พร้อมกลับมาเที่ยวไทย เมื่อไหร่ก็ตามที่นโยบาย Zero-COVID ถูกยกเลิก

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีน ยังคงไม่สามารถกลับมาเดินทางได้เป็นปกติ และคาดว่าจะยังไม่มีการยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ในปี2565 นี้ หลังจากที่ประเทศจีนมีการนโยบายควบคุมเดินการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างไม่มีกำหนดมาตั้งแต่ปี 2563 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมาก

ในปี 2562 นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ที่สร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยกว่า 5.3 แสนล้านบาท แม้ประเทศไทยจะมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2565 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังฟื้นตัวได้ในระดับต่ำ สาเหตุมาจากมาตรการ Zero-COVID

จีน

นักท่องเที่ยวจีนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 คนต่อเดือน และเพิ่มเป็น 32,320 คนในเดือน กันยายน 2565 หลังไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเฉลี่ยราว 9.3 แสนคนต่อเดือน

ปัจจุบันแม้รัฐบาลจีนจะประกาศขยายอายุมาตรการ Zero-COVID ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ Krungthai COMPASS มองว่าเมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวลง ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยมากขึ้น

สะท้อนจากผลการสำรวจชาวจีนโดย Booking.com ที่ชี้ว่า 62% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า ตั้งใจเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทันที หลังจีนยกเลิกนโยบาย Zero-COVID โดยมีไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศปลายทางที่
ต้องการเดินทางมามากที่สุด

ประการที่ 4 Wellness tourism โอกาสใหม่ในยุค New Normal จะเป็น Upside สำคัญต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย

Global Wellness Institute (GWI) ได้ประเมินว่า ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหรือ Wellness Tourism ของโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าปีละ 20.9% จากมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2563 เป็น 11 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2568

กลุ่มสุขภาพ

โดยมีแรงผลักดันหลักจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของโลก เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่มีภาวะความเครียดมากมาย ทำให้ Wellness Tourism ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการ
ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

GWI ได้จัดอันดับ Wellness Tourism ของไทยอยู่ในลำดับที่ 15 ของโลก และ อันดับที่ 4 ของเอเชียแปซิฟิก
เนื่องจากไทยมีจุดแข็งในด้านค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ

Krungthai COMPASS จึงมองตลาด Wellness Tourism ว่าจะเป็น Upside สำคัญของกาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และมีแนวโน้มเติบโตดี รวมถึงค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปค่อนข้างสูง

สำหรับปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะขยายตัวขึ้นเป็น 21.4 ล้านคน โดยคาดว่ามูลค่าตลาดการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการที่หลายประเทศจะเริ่มเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก จะเริ่มทยอยกลับมาเดินทางได้ประมาณช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566

ต่างชาติ

ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาพรวมจะฟื้นตัวดีขึ้น จากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่สะสมมานานกว่า 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน จะยังคงทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากคาดว่า การผ่อนคลายนโยบายซีโร่โควิด-19 ของจีนจะอยู่ในรูปแบบของการทยอยผ่อนคลายเป็นรายมณฑล  มากกว่าการประกาศยกเลิกนโยบายพร้อมกันทั่วประเทศ

ดังนั้น จะทำให้ในปี 2565-2566 สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้เป็นหลัก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ในปี 2567 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาพรวมจะฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงระดับปกติโดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะขยายตัวขึ้นเป็น 34.7 ล้านคน และมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาอยู่ในระดับ 3.0-3.5 ล้านคนต่อเดือน ได้ประมาณช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567
ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมในปี 2567 จะกลับมาในระดับ 87% เมื่อเทียบกับปี 2562

ด้านสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปสูง เช่น จีน ยุโรป สหรัฐอเมริกา จะฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ ส่งผลให้มูลค่าตลาดการท่องเที่ยวในปี 2567 ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยบวกหลักมาจากความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่สะสมมานานกว่า 2-3 ปี รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเริ่มกลับมาได้ในช่วงปี 2566

อย่างไรก็ตาม เป็นข้อสังเกตว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565-2566 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 39.9 ล้านคน รวมถึงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ ซึ่งมีการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปค่อนข้างน้อย ซึ่งยังกดดันให้ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19

มูลค่า

ขณะเดียวกัน ยังส่งผลต่อเนื่องให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในอนาคต อีกทั้งต้นทุนทางธุรกิจยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าแรงงานขั้นต่ำ ค่าไฟฟ้า รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ท่ามกลางภาวการณ์แข่นขันที่รุนแรง

ดังนั้น ภาคธุรกิจอาจต้องปรับตัว โดยการลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อกระจายความเสี่ยง หรือทำกิจกรรมทางการตลาด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ

ตัวอย่างเช่น กลุ่ม Wellness Tourism ที่มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปค่อนข้างสูง หรือกลุ่ม Digital Nomad ที่เข้ามาพำนักเพื่อการทำงานผ่านระบบดิจิทัล (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีเมล ฯลฯ) ซึ่งมีระยะเวลาเข้าพักนานกว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป

พร้อมกันนี้ ควรพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนลง ก่อนที่ภาคการท่องเที่ยวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี 2567

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo