กทม.-สปสช. ร่วมจัดหาโรงพยาบาล รองรับผู้ถูกยกเลิก ‘สิทธิบัตรทอง’ เตรียมให้เลือกหน่วยบริการใหม่ 10 ต.ค.นี้
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเลิกสัญญาโรงพยาบาลเอกชน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 จำนวน 9 แห่ง ได้แก่
- โรงพยาบาลมเหสักข์
- โรงพยาบาลบางนา 1
- โรงพยาบาลประชาพัฒน์
- โรงพยาบาลนวมินทร์
- โรงพยาบาลเพชรเวช
- โรงพยาบาลผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2
- โรงพยาบาลแพทย์ ปัญญา
- โรงพยาบาลบางมด
- โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
กทม.–สปสช. จัดหาโรงพยาบาลรองรับ
ส่งผลให้ประชาชนมีหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้ง 9 แห่ง จะถูกยกเลิกเป็นสิทธิว่าง ซึ่งจำนวนนี้มีประมาณ 220,000 คน ที่ สปสช. ต้องจัดหาหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ (คลินิกชุมชนอบอุ่นหรือศูนย์บริการสาธารณสุข) ให้
และอีกประมาณ 690,000 คน ที่เดิมมีโรงพยาบาลทั้ง 9 แห่งเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะไม่มีโรงพยาบาลรับส่งต่อ แต่ยังคงมีคลินิกชุมชนอบอุ่นและศูนย์บริการสาธารณสุข เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ ที่จะต้องจัดหาโรงพยาบาลเข้ามารองรับการส่งต่อนั้น
เลือกหน่วยบริการใหม่ 10 ต.ค.
กรุงเทพมหานคร ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพเขต 13 จัดการประชุมร่วมกับโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือแนวทางการบริหารจัดการ สถานการณ์รองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
โดยในส่วนของผู้ที่เป็นสิทธิว่างนั้น สปสช. จะเปิดให้ผู้ที่มีสิทธิว่างเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำแห่งใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 65 โดยสามารถหาข้อมูลหน่วยบริการในพื้นที่ใกล้บ้านได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. https://www.nhso.go.th หรือสอบถามผ่านสายด่วน สปสช. 1330
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ยังไม่เลือกโรงพยาบาล สามารถเข้ารับบริการได้ทุกคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลในเครือข่ายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และถ้ามีความจำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล สามารถไปรับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาลในเครือข่ายระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สำหรับโรงพยาบาลรับส่งต่อแห่งใหม่นั้นในช่วงระยะเวลา 3 เดือน จนถึงสิ้นปีนี้ สปสช. จะหาโรงพยาบาลรับส่งต่อเพิ่มเพื่อรองรับผู้ป่วยต่อไป
สิทธิบัตรทอง ใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในระหว่างนี้กรณีผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องนัดรับยาต่อเนื่อง สามารถรักษาในคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน กรณีหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด อัลตราซาวด์ ซีทีสแกน MRI เป็นต้น สามารถติดต่อขอรับเวชระเบียนที่โรงพยาบาลทั้ง 9 แห่ง และสามารถไปเข้ารับการรักษาในทุกโรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพ โดยประสานผ่านหมายเลข 1330 ยกเว้นผู้ป่วยที่มีนัดรักษาตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท และโรงพยาบาลประชาพัฒน์ ยังคงรักษาที่เดิมจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 65
สำหรับผู้ป่วยฟอกไต และผู้ป่วยที่มีนัดผ่าตัดหัวใจ สวนหัวใจใส่บอลลูน ใส่สเต็นท์ (stent) ยังคงรับบริการได้ตามนัดเหมือนเดิม (ไม่ได้ยกเลิกสัญญาบริการฟอกไตและผ่าตัดหัวใจ) ผู้ป่วยใน (ที่ยังนอนอยู่โรงพยาบาล) รักษาต่อไปได้ จนกว่าจะสิ้นสุดการรักษา
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินใช้สิทธิรักษาเหมือนเดิมทุกประการ เจ็บป่วยฉุกเฉินในกลุ่มสีเขียว (ไม่รุนแรง) สีเหลือง (เร่งด่วน) เข้ารักษาได้ทุกหน่วยบริการที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติถึงแก่ชีวิต (สีแดง) เข้ารักษาได้ทุกหน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่อยู่ใกล้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน ตามนโยบาย UCEP เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่
นอกจากนี้ สปสช. จะเพิ่มคลินิกอบอุ่นให้มากขึ้น โดยมีการนำคลินิกเวชกรรมบางประเภทมาเป็นคลินิกที่ทาง สปสช. ให้สิทธิครอบคลุมไปถึง รวมทั้งร้านขายยา เพื่อรองรับการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้สามารถไปใช้บริการได้
สำหรับกรุงเทพมหานครเองสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยบริการปฐมภูมิที่เชื่อมต่อกับหน่วยบริการทุติยภูมิและตติยภูมิแบบไร้รอยต่อ พร้อมกับการนำเทคโนโลยีระบบ Telemedicine มาใช้ในโรงพยาบาล และ Teleconsult ในศูนย์บริการสาธารณสุข เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดมาตรการ สปสช. หลังเลิกสัญญา 9 รพ.เอกชน ลดผลกระทบผู้ป่วยบัตรทองเกือบแสนคน
- เปิดผลสำรวจ ‘สิทธิบัตรทอง’ ปี 65 ประชาชนพอใจ 97.62% แต่อยากให้รักษาได้ทุกที่ ทุกโรค
- ‘สิทธิบัตรทอง’ ดูแลหญิงไทย ‘ยุติการตั้งครรภ์ไม่ปลอดภัย’ จากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์