‘ทิพานัน’ แจง ‘ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ’ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ ปรับไม่ถึง 425 บาท ต้องช่วยเหลือทั้งนายจ้าง ทั้งลูกจ้าง
วันที่ 27 สิงหาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณี รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กรณีคณะกรรมการค่าจ้างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2565 ต้องขอชี้แจงเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความตั้งใจของรัฐบาลว่า การปรับค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่ม เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพจากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น ยิ่งสถานการณ์หวั่นไหวทางเศรษฐกิจอาจทำให้มีการปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นได้
ที่ผ่านมารัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้กำชับให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ ดูแลแรงงาน โดยให้หาแนวทางดำเนินการปรับขึ้นค่าแsงขั้นต่ำให้เร็วที่สุด เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
อัตราค่าแรงขั้นต่ำ ผ่านความเห็นตัวแทนนายจ้าง ลูกจ้างแล้ว
น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายค้าน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เกณฑ์สำหรับการปรับอัตราค่าแรง ได้นำตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP)ของแต่ละจังหวัดชัดเจน และนำมาเทียบกับภาวะเงินเฟ้อ นำมาคำนวณจนได้ข้อสรุปแบ่งเป็น 9 อัตรา และมีระดับค่าแรงตั้งแต่ 328 – 354 บาท ตามที่ทราบกัน
เป็นการประชุมร่วมกันกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรียกว่าคณะกรรมการค่าจ้าง โดยมีผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล ร่วมหารือมาโดยตลอดจนได้ข้อสรุป เพื่อเสนอ ครม. ที่คาดว่าจะประกาศใช้ ภายใน 1 ตุลาคม 2565
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยวิจารณ์ว่า รัฐบาลไม่สามารถปรับขึ้นค่าแsงขั้นต่ำ 425 บาท เท่ากันทั่วประเทศได้ตามนโยบายหาเสียงไว้จนปลายอายุรัฐบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบหนักต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และจากมาตรการทางด้านสาธารณสุข
โดยตัวเลขอัตราค่าแรงขั้นต่ำนั้น ได้มีการหารือทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการมาแล้วเบื้องต้น ว่าอยู่ในจุดที่ยอมรับได้
อีกทั้งก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือและเยียวยา ทั้งนายจ้างและลูกจ้างผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อพยุงสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และไม่เกิดการว่างงานขึ้น รวมเงินกู้ผ่านธนาคารของรัฐเพื่อให้พลิกฟื้นธุรกิจ
ยึดประโยชน์ประชาชน มากกว่าการเมือง
โดยข้อมูลในปี 2564 รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินการผ่านโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน มาตรา 33, 39 และ 40 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 102,532.08 ล้านบาท โครงการ ม33 เรารักกัน คนละ 6,000 บาท มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 48,185.85 ล้านบาท ลดอัตราเงินสมทบให้กับนายจ้าง ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39และลดอัตราเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนมาตรา 40 ลดเหลือร้อยละ 60 ของอัตราเงินสมทบปกติที่จัดเก็บ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนพยุงในระบบเศรษฐกิจกว่า 1,874 ล้านบาท
ทั้งนี้รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจยังมีมาตรการลดค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ให้กลุ่มเปราะบาง และสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง เข้าสู่ระยะที่ 5 แล้วด้วย
ที่สำคัญประเทศไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจและเปิดประเทศ รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจอย่างระมัดระวังและมีความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น การลงทุนในอนาคต จึงไม่ได้ยึดเอาผลทางการเมือง เพื่อดึงคะแนนเสียงเป็นหลักในเวลานี้ แต่ให้ผลประโยชน์ของประเทศและพี่น้องประชาชนเป็นตัวนำ โดยไม่ทอดทิ้งผู้ใช้แรงงานที่ การปรับขึ้นค่าแsงขั้นต่ำนี้ ไม่เพียงเพิ่มรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงาน รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพ และคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เช็กที่นี่!! ‘ค่าแรง ขั้นต่ำ’ อัตราใหม่ เริ่ม 1 ต.ค.นี้ จังหวัดไหน ได้เท่าไหร่??
- ด่วน!! เคาะ ‘ขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ’ เฉลี่ย 337 บาท มีผล 1 ต.ค.นี้ ชลบุรี-ระยอง-ภูเก็ต สูงสุด 354 บาทต่อวัน
- จ่อขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ 5-8% คาดมีผลบังคับใช้ไม่เกินสิ้นปี