สิทธิประโยชน์ จากกองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน เรื่องที่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมต้องรู้ ป้องกันเสียสิทธิโดยไม่รู้ตัว
สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน โพสต์เพจเฟซบุ๊ก บอกสิทธิที่ผู้ประกันตน จะได้รับจาก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน
กองทุนประกันสังคม
เป็นกองทุนที่ให้ประโยชน์ทดแทน เมื่อเกิดกรณีต่าง ๆ ที่ไม่ใช่จากการทำงาน ดังนี้
1. กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย
- ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันรับบริหารทางการแพทย์
- ได้รับการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เมื่อเข้ารักษาในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ
- ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นโรคเรื้อรัง ไม่เกิน 365 วัน
- กรณีทันตกรรม ได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ไม่เกิน 900 บาทต่อปี (อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าตัดฟันคุด)
2. กรณีคลอดบุตร
- ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร
- ผู้ประกันตนหญิง ได้รับค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย 15,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และเงินสงเคราะห์หยุดงานเพื่อคลอดบุตร 50% ของค่าจ้าง เฉลี่ย 90 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง
- ผู้ประกันตนชาย ได้รับเฉพาะค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย 15,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
- ค่าฝากครรภ์ จำนวน 1,500 บาท ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
3. กรณีทุพลภาพ (ไม่เนื่องจากการทำงาน)
- ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนทุพพลภาพ อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน
- กรณีทุพลภาพระดับความสูญเสียไม่รุนแรง (ประเมินการสูญเสียตั้งแต่ 35-49% ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 30% ของค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ ไม่เกิน 180 เดือน
- กรณีทุพลภาพระดับความสูญเสียไม่รุนแรง (ประเมินการสูญเสียตั้งแต่ 50% ขึ้นไป) ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างรายวัน ตลอดชีวิต
4. กรณีตาย
- ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย
- ได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท
- เงินสงเคราะห์กรณีตาย หากจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน รับเงินสงเคราะห์ 50% ของค่าเฉลี่ย 4 เดือน หากจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป รับเงินสงเคราะห์ 50% ของค่าเฉลี่ย 12 เดือน
5. กรณีสงเคราะห์บุตร
- ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน
- ได้รับเงินสงเคราะห์บุตร เหมาข่ายเดือนละ 800 บาทต่อบุตร 1 คน
6. กรณีชราภาพ
- เงินบำนาญชราภาพ (จ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน)
ได้รับเงินบำนาญชราภาพ 20% ของค่าเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน
- เงินบำเหน็จชราภาพ (จ่ายเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือน)
จ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ เท่ากับจำนวนเงินสมทบ เฉพาะส่วนของผู้ประกันตน
จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ เท่ากับจำนวนเงินสมทบ ที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบ พร้อมผลประโนชน์ตอบแทน
7. กรณีว่างงาน
- ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน
- ถูกเลิกขจ้าง ได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงาน 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน
- ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงาน 30% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน
กองทุนเงินทดแทน
เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 โดยจัดเก็บเงินสมทบจากนายจ้างฝ่ายเดียว ตามประเภทความเสี่ยงของกิจการ เพื่อนำไปจ่ายทดแทนให้ลูกจ้าง กรณีประสบอันตราย เนื่องจากการทำงาน ดังนี้
- กรณีเจ็บป่วย ไม่สามารถทำงานได้ตั้งแต่วันแรก
- กรณีทุพพลภาพ (ตลอดชีวิต)
- กรณีสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกาย (ไม่เกิน 10 ปี)
- กรณีตายหรือสูญหาย (10 ปี)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคมได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เตือนด่วน!! ประกันสังคม ม.39 ขาดส่งบ่อย ระวังเสียสิทธิต่อไปนี้
- ประกันสังคม ม.33 ออกจากงาน สมัคร ม.39 รักษาสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
- ประกันสังคมติดโควิด ม.33-39-40 เบิกได้เท่าไร ใช้เอกสารอะไร เช็คเลย