กกพ. ปรับค่าเอฟทีเดือนพ.ค.-ส.ค. 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ดัน ‘ค่าไฟพุ่ง’ 4 บาทต่อหน่วย จากวิฤกตรัสเซีย – ยูเครน ทำราคาพลังงานสูงขึ้น
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุ ที่ประชุม กกพ.มีมติให้ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2565 ที่ 24.77 สตางค์/หน่วย
ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ /หน่วย เป็น 4.00 บาท/หน่วย จากผลกระทบความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาพลังงานโลกเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ประมาณการค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นส่งผลให้ประมาณการค่าเอฟที ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม 2565 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 129.91 สตางค์/หน่วย หากพิจารณาภายใต้หลักการการปรับขึ้นแบบขั้นบันได อาจทำให้ต้องขึ้นค่าเอฟที งวดละ 47.3 สตางค์/หน่วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงให้ต่ำที่สุด ได้แก่ การรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป. ลาว โครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทินก่อนวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมจาก
กลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความพร้อมจ่ายไฟฟ้า การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา เพื่อทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่ในราคาที่เหมาะสม และมาตรการการบริหารการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ร่วมกับมาตรการการนำ “Energy Pool Price” มาใช้ เพื่อเฉลี่ยต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรม สามารถทำให้ค่าเอฟทีลดลง เป็นผลให้ปรับขึ้นค่าเอฟที ในงวดนี้เพียง 23.38 สตางค์ต่อหน่วย
ทั้งนี้ ตามแนวทางจากภาคนโยบาย กฟผ. จะแบกรับค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในงวดที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดไว้ก่อน จะทยอยเรียกคืนค่าเอฟที เมื่อราคาเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง
สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน พฤษภาคม- สิงหาคม 2565 ตามข้อเสนอของ กฟผ. ประกอบด้วย
1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคม- สิงหาคม 2565 เท่ากับประมาณ 68,731 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ม.ค. – เม.ย. 2565) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 65,325 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.21%
2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคม- สิงหาคม 2565 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 55.11% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้ เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 19.46% และ ลิกไนต์ของ กฟผ. 8.32% เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 8.08% พลังน้ำของ กฟผ. 2.58% น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) ที่ 0.01% น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) อยู่ที่ 0.19% และอื่นๆ อีก 6.25%
3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือนพฤษภาคม- สิงหาคม 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือนมกราคม- เมษายน 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น มากจากประมาณในรอบเดือน มกราคม- เมษายน 2565 โดยที่เชื้อเพลิงอื่น ๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่
4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1-31 ม.ค.2565) เท่ากับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าเล็กน้อยจากประมาณการในงวดเดือนมกราคม- เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์
นายคมกฤช กล่าวว่า ในช่วงวิกฤตราคาพลังงานขาขึ้น สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนประชาชนผู้ใช้ไฟ ร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า 4 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งาน ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา และ เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพง จะเป็นการลดภาระค่าครองชีพ และยังจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันลดภาระโดยรวมให้กับประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2565 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 17 – 27 มีนาคม 2565 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘กพช.’ ไฟเขียวลดส่งเงินเข้า ‘กองทุนอนุรักษ์พลังงาน’ ขยายกรอบซื้อไฟฟ้าจากลาว
- นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ กพช. ไฟเขียว ‘เปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ’ เฟส 2
- กพช. ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อ ‘โซลาร์บนหลังคา’ 100 เมกะวัตต์ จ่ายเข้าระบบปี 64