มาม่า ทศวรรษ 6 หลังรั้งแชมป์ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตลอด 50 ปี “พิพัฒ” วางใจผู้บริหาร พนักงานรุ่นใหม่ สานต่อ New Business Model มุ่งสู่ “ฟู้ด อินโนเวชั่น”
ก้าวเดินในสมรภูมิบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาทมาครบ 50 ปี วันนี้ มาม่า ทศวรรษ 6 พร้อมย่างก้าวอย่างมั่นใจและแข็งแกร่ง เพื่อครองแชมป์ตลาดอย่างมั่นคง และก้าวสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพรับเทรนด์ผู้บริโภค
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา มาม่า เล่าถึงก้าวต่อไปของ มาม่า ทศวรรษที่ 6 ว่า จะเป็นหน้าที่ของผู้บริหารรุ่นใหม่ และพนักงานรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ New Business Mode
สำหรับเป้าหมายนับจากนี้ จะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่นิยมสินค้าเพื่อสุขภาพ และเทรนด์การใช้ชีวิตที่ต้องการความง่ายและสะดวก โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ หรือ ฟู้ด อินโนเวชั่น เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยไม่จำกัดเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น
เปิดกลยุทธ์มาม่า ทศวรรษ 6
การจะก้าวเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าว หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือ การจับมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาธุรกิจที่มากกว่าอาหารกึ่งสำเร็จรูป ตัวอย่างเช่น การวิจัยและพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ ร่วมกับสถาบันการศึกษาเพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มสุขภาพมากขึ้น เป็นต้น
ที่ผ่านมา มาม่าเผชิญกับวิกฤตต่าง ๆ ทั้งต้มยำกุ้งในปี 2540 และโควิด-19 จากราคา 2 บาทในยุคเริ่มต้น มาถึง 6 บาทในวันนี้ บริษัทยังคงสามารถก้าวผ่านวิกฤติต่าง ๆ มาได้ เนื่องจากอยู่ในธุรกิจอาหารซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอนาคตและมีความยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายในประเทศ ทำให้ผลิตภัณฑ์มาม่าเติบโตขึ้น มีการนำนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
จนถึงวันนี้ มีสินค้าวางจำหน่ายมากกว่า 40-50 รายการ เพื่อสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้บริโภค
ยันไม่ขึ้นราคาแม้ต้นทุนพุ่ง
ปัจจุบัน แม้ราคาต้นทุนวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะวัตถุดิบหลักอย่าง แป้งสาลี ปรับขึ้นจากถุงละ 200-300 เป็น 430 บาท น้ำมันปาล์ม ปรับขึ้นจากปี 2562 จากราคากิโลกรัมละ 19 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 50 บาท รวมไปถึงต้นทุนแรงงาน บริษัทยังคงไม่ปรับราคา แต่ใช้วิธีบริหารจัดการต้นทุนภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่การดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ ภายใต้การนำทัพของกลุ่มผู้บริหารยุคใหม่ จะเน้นการเดินหน้าสู่ธุรกิจในรูปแบบใหม่ New Business Model ที่เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ รวมถึงการขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายเพชร พะเนียงเวทย์ กรรมการบริษัท และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด 2 บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษา บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเทรนด์ตลาดบะหมี่สำเร็จรูปในไทย มีอัตราการบริโภคอันดับที่ 9 ของโลก หรือประมาณ 3,700 ต่อปี
อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ตลาดไทยมีอัตราการเติบโตลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโควิด-19 โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซอง หรือตลาดแมสจะโตช้ากว่ากลุ่มพรีเมียมหรือชนิดคัพ ถ้วย โดยมาม่ายังคงเป็นผู้นำตลาดรวมด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50%
กลยุทธ์การดำเนินงานตลาดในประเทศ มาม่า ต้องมีจุดแข็ง ประกอบด้วย อร่อย ปลอดภัย สะดวก เก็บได้นาน ประหยัด เพิ่มความคุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของตลาดส่งออก ที่มี นางสาวพจนา พะเนียงเวทย์ กรรมบริษัทและกรรมการธรรมาภิบาลและบริหารความเสี่ยง บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบ เล่าว่า ปัจจุบันมีการทำตลาดไปใน 68 ประเทศทั่วโลก ทั้งการส่งออกจากโรงงานในไทย และผลิตจากโรงงานในต่างประเทศ 4 แห่ง
นอกจากนี้ ยังเตรียมวางแผนขยายการลงทุนเพิ่มในต่างประเทศ ทั้งการฐานการผลิต โดยเบื้องต้นจะขยายที่แอฟริกา จากปัจจุบันตั้งโรงงานผลิตมาม่าในต่างประเทศ ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา ฮังการี และบังกลาเทศ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โควิด-19 หนุนมาม่ายอดขายพุ่ง 8% หั่นราคา ‘มาม่าคัพ’ เหลือ 10 บาท
- สะดวกแต่ต้องระวัง!! อาจารย์เจษฎ์ เตือนซองสารเคมีในบะหมี่ถ้วยร้อน ‘ห้ามกิน’ เด็ดขาด
- ราคาน้ำมันปาล์มพุ่ง! ‘จุรินทร์’ นัดถกหาทางออก ลั่นถือเป็นการบ้านข้อยาก
