Business

โอไมครอน ฉุดค้าปลีกซึมยาว สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จี้รัฐจำกัดวงระบาด หวั่นซ้ำรอยวิกฤติโควิดปี 64

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย หวั่นโอไมครอน ฉุดอารมณ์จับจ่ายซบเซา ลั่นอย่าให้กลับไปเหมือนปี 2564 ชง 4 ข้อเสนอกระตุ้นการจับจ่าย เศรษฐกิจ หลังเทศกาลจับจ่ายปลายปี ไม่คึกตามคาด

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนธันวาคม 2564 พบว่า ปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย

นอกจากนี้ยังพบว่า การจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ปลายปีคึกคักแต่ไม่เป็นไปตามคาด โดยมียอดซื้อต่อบิลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและเกิดจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้น

ขณะที่ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอนที่เพิ่มมากขึ้น และมาตรการของภาครัฐที่ไม่ชัดเจนในการควบคุมการแพร่ระบาดของ โอไมครอน

ผลการสำรวจรอบนี้ของเรา ต้องยอมรับว่า ไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากการแพร่ของโอมิครอนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และเกรงว่าภาครัฐจะกลับมาประกาศมาตรการการควบคุมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง

ทั้งนี้ แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG) แต่ก็เกิดจากความถี่ในการจับจ่าย ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และยอดซื้อต่อบิล เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นเป็นหลัก ไม่ใช่เกิดจากกำลังซื้อที่แท้จริง

ข้อมูลดังกล่าว สะท้อนว่า ยังต้องการแรงกระตุ้นจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมเรื่องการยกเลิกกิจกรรมข้ามปีของบางพื้นที่ ที่ส่งผลให้การจับจ่ายปลายปีต้องชะงัก

1 4

ข้อสรุปดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก

1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนธันวาคมอยู่ที่ 68.4 ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 6 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนพฤศจิกายนที่ 62.1 สะท้อนถึงมู้ดของการจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ปลายปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลง 4 จุดจากระดับ 69.7 ในเดือนพฤศจิกายน มาที่ 65.1 เดือนธันวาคม สะท้อนถึงความความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนที่กระจายไปกว่า 30 จังหวัด (สำรวจระหว่างวันที่ 17-24 ธันวาคม 2564)

2. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากมาตรการผ่อนปรนความเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดที่ชัดเจนขึ้น และการที่ประชาชนเริ่มท่องเที่ยวในประเทศตามภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น

3. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเมื่อจำแนกตามประเภทร้านค้าปลีกเปรียบเทียบระหว่างเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม พบว่า เพิ่มขึ้นทุกประเภทร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า จากบรรยากาศการจับจ่ายช้อปปิ้ง ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมาย เนื่องจากผู้บริโภครอความหวังจากโครงการ ช้อปดีมีคืน ที่ควรเกิดในปลายปี 2564 แต่เลื่อนเป็นต้นปี 2565 แทน

2 5

ประเมินกำลังซื้อหลังได้รับผลกระทบจากโอไมครอน 

1. ยอดขายเพิ่มขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา มาจาก

  • อันดับ 1 มาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐ
  • อันดับ 2 การจัดโปรโมชั่นของร้านค้า
  • อันดับ 3 การขายผ่านออนไลน์

2. ความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอน

  • อันดับ 1 กังวลต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว
  • อันดับ 2 ลูกค้างดการทำกิจกรรมนอกบ้าน
  • อันดับ 3 กังวลต่อมาตรการที่อาจต้องล็อคดาวน์

3. แผนการรองรับหากมีการแพร่ระบาดของโอไมครอน

  • 63% ขายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น
  • 40% ลดค่าใช้จ่าย ลดการจ้างงาน
  • 30% ดำเนินธุรกิจตามปกติ เว้นแต่ภาครัฐสั่งให้ปิด

4. ความช่วยเหลือจากภาครัฐ

  • 58% เพิ่มการลดหย่อนภาษีและลดภาระค่าใช้จ่าย
  • 55% เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและต่อเนื่อง
  • 43% ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงาน
akcbcdde65jf7cbha97d5
ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ย้ำ 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ

1. ยกระดับความพร้อมของระบบสาธารณสุข อาทิ เร่งการกระจายการฉีดวัคซีน เสริมชุดตรวจ ATK ที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ เตรียมยาที่ใช้รักษา และสำรองเตียงผู้ป่วยหนัก

2. มีมาตรการเชิงรุกสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดให้มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม หากมีการระบาดในแต่ละพื้นที่ รัฐควรมีการปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์เท่านั้น

3. ช่วยภาคเอกชนและประชาชนลดค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดเงินสมทบประกันสังคม ภาษีป้าย รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่มีการค้ำประกัน และพิจารณา ลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทั้งที่เกี่ยวข้องกับโควิดทางตรงและทางอ้อม

4. ผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ช้อปดีมีคืน ควรทำเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ครั้งต่อปี เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบรวมกันกว่าแสนล้านบาทตลอดปี

ในภาวะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องของภาครัฐถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ SMEs และภาคธุรกิจไทยได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มการจ้างงาน และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างต่อเนื่อง การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกภาคส่วนจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยไปต่อให้ได้

เราไม่สามารถที่จะกลับไปอยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนในปี 2564 ที่ทุกอย่างหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นการลดการแพร่ระบาดของโอไมครอนให้กระจายอยู่เพียงในวงจำกัด และกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยับตัวดีขึ้นให้น้อยที่สุด จึงเป็นทางออกเดียวของเราทุกคน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo