Business

โอไมครอน ปัจจัยเสี่ยงตลาดอสังหาฯ ปี 2565 หวังเปิดประเทศ-LTV หนุนโต 15-20%

ลุมพินี วิสดอมฯ คาดอานิสงส์เปิดประเทศ ผ่อนคลายมาตรการ LTV ดันตลาดอสังหาฯ ปี 2565 เติบโต 15-20% แต่ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากโอไมครอน หนี้ครัวเรือน

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะเติบโตประมาณ 15-20%

ตลาดอสังหาฯ

การเติบโตดังกล่าว เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลมีมาตรการเปิดประเทศ รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565

ทั้งนี้ ทีมวิจัยของ ลุมพินี วิสดอมฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 78,000-90,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 305,000-318,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564

ขณะที่บ้านพักอาศัยประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่จะมีการเปิดตัวมากในปี 2565 โดยจะเพิ่มขึ้น 40-50% เมื่อเทียบกับปี 2564 เพื่อตอบรับกับความต้องการบ้านพักอาศัยที่เพิ่มขึ้นจาก work from home โดยประเมินว่าหน่วยเปิดตัวบ้านพักอาศัยจะอยู่ที่ 46,800-54,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่ 183,000-190,800 ล้านบาท

3 เปิดตัวใหมา65

ส่วนแนวโน้มการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-15%จากปี 2564 เช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวคอนโดมิเนียม และเร่งขายคอนโดมิเนียมที่คงค้างอยู่ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนหน่วยเหลือขายคอนโดมิเนียมในตลาดลดลง

จากไตรมาส 3 ปี 2564 หน่วยเหลือขายคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 83,914 หน่วย ลดลง 7.6% จาก ณ สิ้นปี 2563 ที่มีหน่วยเหลือขายในตลาดอยู่ที่ 90,841 หน่วย

ด้านกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในตลาดในปี 2565 ประเมินว่า ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในทำเลที่อยู่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า

สำหรับทำเลที่ได้รับการตอบรับที่จากตลาดได้แก่ ทำเลที่ติดกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง และสายสีเหลือง เช่น ย่านรังสิต-นวนคร, ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ, อ่อนนุช-บางนา, ดอนเมือง-พหลโยธิน เป็นต้น

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ

นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ราคาที่อยู่อาศัยในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามระดับราคาที่ดินที่ขยับเพิ่มขึ้น จากการพัฒนาระบบขรางที่เชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างกรุงเทพฯ ชั้นในกับกรุงเทพฯ ชั้นนอก รวมไปถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น

ประมาณว่าราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับทำเล อย่างไรก็ตามผู้ซื้อยังคงสามารถต่อรองได้ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการในแต่ละทำเล

อย่างไรก็ตามในปี 2565 ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน

ในปี 2564 คาดการณ์โครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดใหม่ 53,000-55,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 265,000-300,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

1เปืดตัวใหม่

 

  • แนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ประมาณ 33,000-35,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 166,000-188,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ประมาณ 10%-20%
  • คอนโดมิเนียม คาดว่าจะมีหน่วยเปิดตัวใหม่ในปี 2564 ประมาณ 20,000-22,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 99,000-112,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 16%-23%

ความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2564 แนวราบยังเป็นกลุ่มที่ทำยอดขายสูง โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ ในระดับราคาขายต่อหน่วย 2-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 14% และ 22% ตามลำดับ

ขณะที่คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ระดับราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิตได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดโดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 27%

ปี 2564 เป็นปีที่ภาคอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เชื่อว่า ปี 2565 จะเป็นปีแห่งความหวังและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้ซื้ออสังหาฯ ที่จะได้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo