“กสิกรไทย” ชี้ จุดเปลี่ยนเกมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทย จาก 4 ประสาน เฮลธ์เทค การแพทย์จีโนมิกส์ นโยบายรัฐ และการลงทุนเอกชน ส่งไทยเป็น Medical Hub ยั่งยืน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ได้จัดงานสัมมนา “Academic Endocrine Weekend 2021” ขึ้น โดยมีนายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “Medical Hub in Thailand: Opportunities and Challenges” หรือ “ศูนย์กลางการแพทย์ในไทย โอกาส และความท้าทาย”
นายพิพิธ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ขึ้นมานั้น รายได้หลักของไทย มาจากการเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) จากการที่ไทยได้ชื่อว่าเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของเอเชีย
กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มาไทยในปี 2560 คิดเป็นสัดส่วน 38% ของยอดรวมนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั้งหมดในเอเชีย แต่จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ก็ชะลอตัวลงต่อเนื่อง แม้กระทั่งก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจาก 13 % ในปี 2560 เหลือเพียง 0.3 % ในปี 2562
คำถามสำคัญคือการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จะสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่งได้อย่างไร เพื่อที่ไทยจะสามารถรักษาตำแหน่ง การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการแพทย์ระดับโลกในระยะยาวไว้ได้
นายพิพิธ แสดงความเห็นว่า ปัญหาและความท้าทายของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในไทย มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน คือ
- ปัญหาด้านโครงสร้าง
ไทยมุ่งเน้นการรักษาโรคที่ไม่ซับซ้อน และเน้นจุดเด่นด้านการบริการ มากกว่าการใช้เทคโนโลยี และการรักษา ที่อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
จำนวนบุคลากรทางการแพทย์มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มจำนวนได้ไม่เพียงพอ ที่จะรองรับความต้องการภายในประเทศ ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากปัญหาสังคมสูงวัย รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการนำเข้ายา และเวชภัณฑ์
ในปี 2563 พบว่าไทยนำเข้ายา และเวชภัณฑ์มูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 70% ของค่าใช้จ่ายด้านยาและเวชภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้สูญเสียโอกาสนำงบประมานเหล่านี้ไปทำการวิจัยและพัฒนาคิดค้นยาที่เป็นนวัตกรรมของคนไทยเอง
- โควิด-19 ระบาด
ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คาดการณ์ว่า ปี 2567 หรือใช้เวลาอีกประมาณ 4 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จึงจะฟื้นตัวกลับไปสู่ภาวะปกติที่ 1.2-1.3 ล้านคนต่อปี
- การแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศในภูมิภาค
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ให้เป็นอุตสาหกรรมดาวเด่น อาทิ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย พบว่า จุดแข็งของไทยอยู่ที่ ต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ และเมื่อเทียบกับการรักษาที่สหรัฐอเมริกา ประเทศไทยจะประหยัดกว่า 82 %
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย ยังอยู่ในแนวหน้าของเอเชีย โดยในขณะนี้ มีสถานพยาบาลที่ผ่านมาตรฐานสถาบัน JCI (Joint Commission International) กว่า 66 แห่ง
อย่างไรก็ดี ประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซีย เริ่มเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้มากยิ่งขึ้น ทั้งกลุ่มลูกค้าหลักของไทย อย่างประเทศแถบตะวันออกกลาง ได้เริ่มลงทุนสร้างศูนย์การแพทย์ครบวงจร อาทิ Dubai Health Care City (DHCC) เพื่อรองรับความต้องการภายในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกด้วย
จากประเด็นปัญหาและความท้าทายข้างต้น จึงเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องผันตัวเอง จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เน้นปริมาณ ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มีความยั่งยืน เน้นคุณภาพ ความชำนาญเฉพาะทาง และเทคโนโลยี เพื่อเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว
ขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแพทย์ของประเทศ รองรับสังคมสูงวัย และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขให้แก่ภาครัฐ
ปัจจัยที่จะช่วยยกระดับประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก (World-Class Medical Hub) มี 4 ปัจจัย
ปัจจัยที่ 1 การส่งเสริมระบบนิเวศน์ของเฮลธ์ เทค ให้เกิดขึ้น (Health Tech Ecosystem)
- การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการ และเกิดการใช้งานจริง
การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการแพทย์ เข้าสู่ออนไลน์มากยิ่งขึ้น สะท้อนได้จากการบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่มีมากขึ้นในช่วงโควิด-19 สามารถช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ ลดภาระให้แก่ระบบสาธารณสุข ที่กำลังจะต้องแบกรับภาระสังคมสูงวัยอีกด้วย
ตัวอย่างเฮลธ์ เทค ในต่างประเทศที่น่าสนใจ เช่น จีน มีแพลตฟอร์ม Ping An Good Doctor ให้บริการด้านสุขภาพครบวงจร ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งาน Ping An Good Doctor 400 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์
- การสนับสนุนระบบนิเวศน์เฮลธ์ เทค สตาร์ทอัพในไทยอย่างจริงจัง
ปัจจุบัน ไทยมีระบบนิเวศน์เฮลธ์ เทค สตาร์ทอัพ เกิดขึ้นแล้วครอบคลุมทั้งด้านยา ยาจากพืชสมุนไพร ที่วิจัยและพัฒนาจากวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ บริการกายภาพบำบัด การส่งยา โรงพยาบาลทางไกล เครือข่ายแพทย์ ฯลฯ หากมีการสนับสนุนด้านเงินทุน เสริมศักยภาพ สร้างโมเดลธุรกิจที่ใหญ่ และเป็นจริงได้ ก็จะสามารถยกระดับบริการทางการแพทย์ของไทยให้ดีขึ้นไปได้อีก
ปัจจัยที่ 2 การมุ่งสู่การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic Medicines)
การแพทย์จีโนมิกส์ คือ นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรมเฉพาะบุคคลร่วมกับข้อมูลทางสุขภาพอื่น ๆ มาใช้ในการวินิจฉัย รักษา และทำนายปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค รวมไปถึงการรักษาโรคเรื้อรังในระดับเซลล์ จึงรักษาผู้ป่วยได้ตรงจุด แม่นยำ และมีโอกาสหายขาดจากโรคเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายสูง
การส่งเสริมการแพทย์จีโนมิกส์ จะช่วยยกระดับการรักษาของไทยไปสู่การให้บริการทางการแพทย์แบบแม่นยำ ใช้เทคโนโลยีในการรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น จากกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
ด้วยความก้าวหน้านี้จะช่วยให้ การดูแลสุขภาพของประชาชนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาระของภาครัฐได้อีกด้วย คาดการณ์ว่าการนำการแพทย์จีโนมิกส์เข้ามาใช้ ประเทศไทยจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปี 2580 ได้กว่า 300,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 1% ของจีดีพี
ปัจจัยที่ 3 การสนับสนุนจากภาครัฐ (Government Support )
- แผนยุทธศาสตร์ Thailand Medical Hub
เป็นบทบาทของภาครัฐที่จะต้องผลักดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการผลิตบุคลากรฝีมือ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และการส่งเสริมงานวิจัย เพื่อให้ไทยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์การแพทย์แบบไทย ที่มีความโดดเด่นแตกต่าง ผสมผสานเทคโนโลยี ป้อนเข้ามาในอุตสาหกรรม ยกระดับความเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ขึ้นไปอีกระดับ พร้อมตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคหลังโควิด-19 ได้
- ส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI
เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า รัฐมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดการลงทุนทางด้านบริการแบบเฉพาะทาง และการให้บริการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีนานสูงสุด 8 ปี จึงเป็นโอกาสของผู้ให้บริการในธุรกิจนี้ที่จะเข้ามาลงทุนได้
- ออกนโยบายส่งเสริมการวีซ่าแบบระยะยาว 10 ปี (Long-stay visa) ให้แก่ชาวต่างชาติ สอดรับกับทิศทางของโลกที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ
ปัจจัยที่ 4 การลงทุนโดยบริษัทเอกชน (Corporate Venture)
กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศ ที่ลงทุนทั้งด้านเทคโนโลยีและเงินทุน เริ่มเปิดให้บริการธุรกิจด้านสุขภาพ และการแพทย์ในรูปแบบต่าง ๆ แล้ว อาทิ บริการศูนย์การแพทย์ บริการแพทย์ทางไกล บริษัทยา
หากบริษัทเอกชนชั้นนำเล็งเห็นศักยภาพในกลุ่มเฮลธ์ เทค ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายย่อย ที่มีจุดเด่นด้านนวัตกรรม รวมทั้งมองเห็นโอกาสจากการแพทย์จีโนมิกส์ ก็จะเกิดการต่อยอดสู่การให้บริการในขนาดที่ใหญ่ขึ้น และพาไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์คุณภาพของภูมิภาคอย่างยั่งยืนได้เร็วขึ้น
นายพิพิธ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากไทยสามารถบูรณาการศักยภาพทางเทคโนโลยี ควบคู่กับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และการลงทุนจากภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง การยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ของประเทศ ไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ชั้นนำของโลกอย่างยั่งยืน ย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน
อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ จะกลายเป็นภาคบริการที่สาคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้คนไทยก็จะมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายและประหยัดยิ่งขึ้นผ่านเทคโนโลยี ลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลด้านสาธารณสุขในระยะยาว
ทั้งนี้ ในปี 2562 การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย สร้างรายได้ 23,500 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าภายในปี 2580 จะสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 150,000 ล้านบาท
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘กสิกรไทย’ บุกเปิดสาขาโฮจิมินห์ รุก ‘ดิจิทัล แบงกิ้ง’ ลูกค้ารายย่อย ก้าวสู่ธนาคารแห่งภูมิภาค
- ‘กสิกรไทย’ แจ้งผลประกอบการ 9 เดือน ปี 64 กำไร 28,151 ล้านบาท
- ‘กสิกรไทย’ ปล่อยกู้ ‘พราว เรียล เอสเตท’ พัฒนาคอนโดย่าน CBD 1,425 ล้านบาท