Business

เช็คให้ชัด! ‘คนละครึ่งเฟส 3’ กับ ‘ยิ่งใช้ยิ่งได้’ เลือกโครงการไหนเหมาะที่สุด

เช็คให้ชัด! “คนละครึ่งเฟส 3” กับ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เลือกโครงการไหนเหมาะกับคุณที่สุด ใครยังลังเล อ่านให้เคลียร์ประกอบการตัดสินใจที่นี่

โครงการ “คนละครึ่งเฟส 3” และ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เป็น 2 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยคนละครึ่งเฟส 3 ได้เปิดลงทะเบียนไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา โดยล่าสุดมีสิทธิ์คงเหลือประมาณ 3 ล้านสิทธิ์ ซึ่งกระทรวงการคลังยังเปิดลงทะเบียนต่อเนื่องจนกว่าจะครบ 31 ล้านสิทธิ์

ยิ่งใช้ยิ่งได้

ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งเฟส 3 มีรายละเอียดโครงการดังนี้

“คนละครึ่งเฟส 3” มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม โดยประชาชนสามารถใช้สิทธิได้ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564

ทั้งนี้ รัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าซื้อสินค้าให้ 50% ของมูลค่าสินค้า แต่ไม่เกินวันละ 150 บาทต่อวันต่อคน และตลอดทั้งโครงการให้สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ยกตัวอย่างเช่น หากซื้อสินค้าจำนวน 200 บาท เราจ่ายเอง 100 บาท รัฐบาลจ่ายให้ 100 บาท หรือกรณีที่ซื้อสินค้า 400 บาท เราต้องจ่ายเอง 250 บาท รัฐบาลจ่ายให้ 150 บาทต่อวันเท่านั้น

คุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ

  • มีบัตรประจำตัวประชาชนและเป็นบุคคลสัญชาติไทย
  • อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  • ประชาชนสามารถเลือกลงทะเบียนได้ 1 โครงการเท่านั้น
  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผ่านบัตรประชาชน)
  • ไม่เป็นผู้ใช้สิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้

การลงทะเบียนรับสิทธิ สามารถลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง

  • ลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com
  • ลงทะเบียนผ่านแอปฯเป๋าตัง พร้อมผูก G-wallet (กดแถบโครงการคนละครึ่ง) สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ/มาตรการรัฐที่ใช้แอปฯเป๋าตัง

ทั้งนี้ สามารถใช้สิทธิซื้อสินค้าได้กับร้านอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไปที่เข้าร่วมโครงการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ร้านค้าในตลาด ร้านโชห่วยก็ใช้ได้ หากร้านค้านั้นเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง รวมทั้งบริการ เช่น นวด สปา ร้านทำเล็บ ขนส่งสาธารณะ แต่ไม่สามารถใช้สิทธิได้กับสินค้าประเภทสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาสูบ

ที่สำคัญ คือ ต้องจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เท่านั้น โดยเราต้องเติมเงินเข้าแอปเป๋าตัง ให้เรียบร้อยก่อนซื้อสินค้า จากนั้นนำไปสแกนกับแอปพลิเคชัน ถุงเงิน ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง

หมายเหตุ : สามารถเปลี่ยนแปลงการลงทะเบียน ได้ 1 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนไปใช้ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ผ่านแอปฯเป๋าตัง ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 เวลา 22.00 น

ยิ่งใช้ยิ่งได้

ส่วนโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” นั้น มีรายละเอียด ดังนี้

“ยิ่งใช้ยิ่งได้” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ที่รัฐบาลคาดหวังว่า จะทำให้เกิดการจับจ่ายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีคูปองอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Voucher คืนเงินสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาท ซึ่งจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนใช้สิทธิ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 -กันยายนนี้ และสามารถนำ e-Voucher ไปใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม-ธันวาคม 2564

เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการสำหรับประชาชน

  • เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน
  • มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  • สามารถเปลี่ยนแปลงโครงการได้ 1 ครั้งผ่านแอปฯเป๋าตัง ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2564
  • เริ่มลงทะเบียนได้วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 6:00-22:00 น.
  • ประชาชนใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2564 เวลา 6:00-23:00 น.
  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผ่านบัตรประชาชน)
  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3

การลงทะเบียนรับสิทธิ สามารถลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง

  • ลงทะเบียนผ่าน www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือ คลิกที่นี่
  • ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง พร้อมผูก G-Wallet
    (สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ/มาตรการรัฐที่ใช้แอปฯ เป๋าตัง)
    (กดแถบโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้)

ทั้งนี้ ผู้ที่เคยรับสิทธิโครงการของรัฐ อาทิ ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ ม33 เรารักกัน เราชนะ สามารถ ลงทะเบียนยิ่งใช้ยิ่งได้ ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการข้างต้นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com

หลักเกณฑ์สำหรับประชาชน

  • ประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงสิทธิได้ 1 ครั้ง และจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงการได้อีก
  • ก่อนการใช้สิทธิครั้งแรก ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน
  • การซื้อ-ขายสินค้าและ/หรือบริการ ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระสินค้าและ/หรือบริการกันแบบพบหน้า (face-to-face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผ่านคนกลาง ไม่ว่าด้วยวิธีใด
  • แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” จะสามารถใช้งานได้ ระหว่างเวลา 6.00-23.00 น. ของทุกวัน
  • ห้ามผู้เข้าร่วมโครงการฯ กระทำการใด ๆ ที่สร้างความเข้าใจผิดต่อมาตรการและ/หรือโครงการของรัฐ หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการฯ หรือมาตรการ/โครงการใด ๆ ของรัฐ

เมื่อประชาชนลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะได้รับ SMS แจ้งสิทธิภายใน 3 วัน โดยก่อนการใช้สิทธิครั้งแรกผู้ได้รับสิทธิตามโครงการจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อใช้ g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ด้วยบัตรประจำตัวประชาชน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนสามารถยืนยันตัวตนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน หรือตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทย หรือผู้ที่มีแอปพลิเคชัน Krungthai Next สามารถยืนยันตัวตนผ่าน Krungtha iNext ได้

ทั้งนี้ เมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วจะสามารถใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ ได้แก่ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ (ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล (Gift voucher) บัตรเงินสด (Gift card) และสินค้าหรือบริการที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า เพื่อรับบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e – Voucher) กับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2564 ในเวลา 06.00-23.00 น. โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e – Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ซึ่งยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e – Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ

เกณฑ์การใช้จ่าย มีดังนี้

  • ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1 – 40,000 บาทแรก ได้รับ e – Voucher 10% ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน
  • ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001 – 60,000 บาท ได้รับ e – Voucher 15% ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ e -Voucher จะคืนเป็นวงเงินเข้าใน g – Wallet ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

ทั้งนี้ สามารถใช้จ่ายด้วย e -Voucher ที่ร้านที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม-31 ธันวาคม 2564 โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้

ยิ่งใช้ยิ่งได้

เทียบชัด ๆ ‘คนละครึ่งเฟส 3’ กับ ‘ยิ่งใช้ยิ่งได้’ โครงการไหนใช่ที่สุด

คนละครึ่ง เหมาะกับคนที่ซื้อสินค้าจากร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ตลาด โชห่วย เหมาะกับคนที่ใช้จ่ายในแต่ละวันไม่ได้สูงมาก สามารถทยอยใช้จ่ายได้ เนื่องจากรัฐจะออกเงินให้ไม่เกินวันละ 150 บาท

ยิ่งใช้ยิ่งได้ เหมาะกับกลุ่มคนมีรายได้สูง หรือคนที่ต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาสูง เพราะยิ่งใช้ยิ่งได้สามารถซื้อสินค้ารวมกันได้สูงสุด 60,000 บาท เพมาะกับคนที่มักซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านค้าขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

สิ่งที่ต้องรู้ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” จำกัดการซื้อไม่เกิน 5,000 บาทต่อวันเท่านั้น เพราะส่วนเกิน 5,000 บาทในแต่ละวัน จะไม่นำมาคำนวณเป็นยอดใช้จ่ายเพื่อรับ E-Voucher ดังนั้น หากต้องการใช้สิทธิเต็มจำนวน 60,000 บาท ต้องแบ่งซื้อสินค้าครั้งละไม่เกิน 5,000 บาท อย่างน้อย 12 ครั้ง

ที่สำคัญ ถ้าต้องการรับสิทธิ์มากกว่า คนละครึ่ง ต้องซื้อสินค้า-บริการให้มีมูลค่ารวม 30,000 บาทขึ้นไป ภายใน 3 เดือน (กรกฎาคม-กันยายน 2564) ถึงจะได้รับ E-Voucher มากกว่า 3,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่ผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งจะได้รับ แต่หากซื้อน้อยกว่า 30,000 บาท คงไม่คุ้มเมื่อเทียบกับ คนละครึ่ง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo