Business

กกร.จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีน-เพิ่มเงินคนละครึ่งเป็น 6,000 บาทกระตุ้นเศรษฐกิจ

“กกร.” จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ได้ตามเป้าหมาย พร้อมเพิ่มวงเงิน “คนละครึ่งเฟส 3” จาก 3,000 บาทเป็น 6,000 บาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัวในกรอบ 0.5% ถึง 2.0% ส่งออกขยายตัว 5-7 % ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1 % ถึง 1.2%

โดยมองว่า แนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังยังสดใส ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการค้าโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดที่มีความคืบหน้าด้านการกระจายวัคซีนอย่างสหรัฐ ยุโรป และจีน ซึ่งเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ต่อเนื่องจากในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่มูลค่าการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวขยายตัวได้มากกว่า 10%

คนละครึ่ง
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย

นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนเกิดวิกฤตค่อนข้างมาก ยังเป็นแรงหนุนสำคัญให้มูลค่าส่งออกไทยในปีนี้ขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ดี กกร. รวมทั้งสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มองว่า ต้นทุนค่าระวางเรือที่คาดว่าจะยังในระดับสูงต่อไปตลอดปีนี้ และการขาดแคลนตู้ส่งสินค้า เป็นปัญหาด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ เช่น การอนุญาตให้เรือขนาดใหญ่ (ความยาว 300 เมตรแต่ไม่เกิน400 เมตร) เข้ามาในท่าเรือแหลมฉบัง ที่ช่วยบรรเทาการขาดแคลนตู้ส่งสินค้าได้ระดับหนึ่งไปแล้วก่อนหน้านี้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมการระบาดที่ลุกลามไปสู่ภาคการผลิตให้ได้โดยเร็ว สถานการณ์ COVID-19 ที่ระบาดระลอกล่าสุดช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนใหญ่อยู่ทางฝั่งเอเชียอาทิ ไต้หวัน มาเลเซีย เวียดนาม และไทย ซึ่งมีความคืบหน้าด้านการกระจายวัคซีนค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเร่งตัวขึ้นมาก และกระทบไปยังภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าขั้นกลางอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ สะท้อนจากดัชนีเครื่องชี้ภาคการผลิต PMI ของประเทศฝั่งเอเชียที่ปรับตัวชะลอลงในเดือนพฤษภาคม

เศรษฐกิจไทยยังต้องการแรงสนับสนุนจากทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า โดยผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวสะท้อนว่าผลกระทบจากการระบาดคราวนี้มีแนวโน้มรุนแรงมากกว่าทั้ง 2 ระลอกก่อนหน้า จากการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเข้ามาซ้ำเติมกิจกรรมทางธุรกิจให้แย่ลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผู้ประกอบการภาคอสัง หาริมทรัพย์และภาคการค้าที่สะท้อนว่าได้รับผลกระทบมากกว่า 2 ระลอกก่อนหน้าจากกำลังซื้อที่ลดลง

ดังนั้น แรงสนับสนุนจากนโยบายการเงิน และการคลังเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็น สอดคล้องกับรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ฉบับล่าสุดในเดือน มิ.ย. (Article IV Consultation) ที่เสนอแนะให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการคลังมากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งใช้จ่ายด้านการลงทุนภาครัฐ และมีความต่อเนื่อง

ความรวดเร็วในการกระจายวัคซีน และนโยบายสนับสนุนที่เหมาะสมจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป การเร่งกระจายวัคซีนในประเทศที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ภาคการผลิตและส่งออกไทยยังคงรักษาการเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตเช่นนี้ และยังจะสร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและประชาชน ทำให้อุปสงค์ในประเทศกลับมาฟื้นตัวได้

คนละครึ่ง

ที่ประชุม กกร.ขอให้ภาครัฐดำเนินการ 3 ประเด็นหลัก คือ

1. เร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายและบริหารจัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ไปพร้อมกับการเร่งออกแผนสนับสนุนการท่องเที่ยวตามรูปแบบของภูเก็ตแซนด์ บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน และทยอยขยายขอบเขตไปยังจังหวัด ท่องเที่ยวอื่นต่อไป ซึ่งหากสำเร็จเชื่อว่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ แทนที่จะเป็นไตรมาสที่ 1 ของปีหน้าตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์

2. เพิ่มมาตรการช่วยเหลือด้านกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ให้เข้ามาพยุงกำลังซื้อได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 โดยพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาทเป็น 6,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 9 หมื่นล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท เมื่อรวมเม็ดเงินขอประชาชนที่นำออกมาใช้จ่ายคู่กับเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง

3. พิจารณาแนวทางมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ (E-voucher) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นจะช่วยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ให้ผู้บริโภคสามารถนำเงินที่ใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าและบริการ มาใช้เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้โดยตรง ซึ่งเชื่อว่า จะอำนวยความสะดวกและดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้นจากที่ได้มีการนำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ออกมาให้ธนาคารต่าง ๆ ดำเนินการ ทาง กกร. ได้รับทราบประเด็นปัญหาเกี่ยวกับมาตรการทั้งสองจากสมาชิก

ทั้งนี้ กกร. กำลังอยู่ในระหว่างการหารือเพื่อหาแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขโครงการและหลักการทั้ง 2 เพื่อนำเสนอกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo