Business

วัดชีพจรธุรกิจอสังหาฯ โค้งแรกปี 2564 ผ่าน 5 บิ๊กเนมในตลาดฯ

วัดชีพจรธุรกิจอสังหาฯ ไตรมาส 1/2564 ภาพรวมฟื้นตัว แม้ได้รับผลกระทบจากโควิดตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงการระบาดระลอก 3 ในขณะนี้ แลนด์ฯ รายได้นำขึ้นเบอร์ 1

จากผลประกอบการในไตรมาส 1/2564 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ส่วนใหญ่มียอดขายและกำไร เพิ่มสูงขึ้น โดยมีเพียงส่วนน้อยที่ผลประกอบการลดลง ทั้งนี้ สามารถ วัดชีพจรธุรกิจอสังหาฯ โดยสะท้อนจากผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ 5 รายใหญ่ ในตลาดได้ ดังนี้

อสังหา กราฟฟิก

เอพีฯ เพิ่มทั้งรายได้-กำไร ก้าวสู่ปีที่ 30 อย่างมั่นใจ

ในปีนี้ จะเป็นปีที่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 และเปิดศักราชใหม่ปี 2564 ด้วยผลประกอบการที่สวยงาม โดยมีรายได้ในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่  9,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.7 กำไรสุทธิ 1,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.1%

การเติบโตของ เอพีฯ เป็นผลมาจากการปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ ที่ส่วนใหญ่เน้นไปที่โครงการ บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมมากขึ้น และในปี 2564 นี้บริษัทตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากถึง 144 โครงการ

นอกจากนี้ ยังชูกลยุทธ์ “EMPOWER LIVING” เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดำเนินธุรกิจปีนี้ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรก้าวขึ้นสู่การเป็นเบอร์ 1 ด้านอสังหาริมทรัพย์ไทย ดังนี้

  • การให้อำนาจการตัดสินใจภายใต้กรอบความรับผิดชอบของตนเอง ลูกค้า คู่ค้า เพื่อนร่วมงาน โดยมุ่งเน้น “ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก” เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  • การปรับองค์กร ที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ทั้งนี้เพื่อปลูกฝังให้พนักงานมีระบบความคิดตามหลัก Design Thinking และสามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรได้ ยุทธศาสตร์สุดท้าย คือ ปรับธุรกิจให้เป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้การบริการสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
  • การปรับแนวทางในการพัฒนาโครงการใหม่ๆในปี 2564 ที่ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม ในจำนวนแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ

การเติบโตของรายได้ดังกล่าว ยังเป็นผลมาจาก รายได้จากการขาย ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8,879 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 72% จากปีก่อน เนื่องจากยอดขายจากตลาดแนวรวบ และรายได้ค่าบริการและค่าบริหารจัดการ ประกอบกับยอดขายระหว่างไตรมาสที่โดดเด่นจาก 100 โครงการที่อยู่ระหว่างการขา รอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจากโครงการในต่างจังหวัด
ในไตรมาส 1/2564 เอพีฯ มีโครงการแนวราบจํานวน 5 โครงการ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 3 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 2 โครงการ โดยโครงการเริ่มโอนกรรมสิทธิได้แก่ 1. The City สุขุมวิท – อ่อนนุช 2. Centro พระราม 9 – กรุงเทพกรีฑา 3. The City บรมราชชนนี – ทวีวัฒนา 4. Api Town นครศรีธรรมราช” และ 5. Api Town อยุธยา ซึ่งโครงการส่วนใหญ่เปิดขายในช่วงปลายปี 2563

ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียม แม้ว่าภาพรวมจะยังคงชะลอตัว แต่รายได้จากคอนโดมิเนียมของเอพีฯ ในไตรมาส 1/2564 ยังคงเติบโตมาอยู่ที่ 839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% เป็นผลมาจากการโอนกรรมสิทธิอย่างต่อเนื่องของโครงการ Aspire อโศก – รัชดา จนถึงสิ้นไตรมาส 1/2564 โอนกรรมสิทธิไปแล้ว 87.3% เป็นต้น

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ รุกบ้านเดี่ยว ดันกำไรพุ่ง 29%

ต่อด้วยอันดับสอง บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิ 1,744.41 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 1,343.99 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น400.42 ล้านบาท หรือ 29.79% เป็นผลมาจากในไตรมาสที่ 1 ปี 64 บริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 7,140.20 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการขายเท่ากับ 5,048.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,091.91 ล้านบาท หรือ 41.44%

ขณะที่รายได้ค่าเช่าและค่าบริการในไตรมาสที่ 1 ปี 64 มีจำนวนเท่ากับ 434.38 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีจำนวนเท่ากับ 986.88 ล้านบาท ลดลงจำนวน 552.50 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 55.98% ซึ่งเกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ทำให้รายได้ของกิจการโรงแรมลดลง

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์มาจาก

  • บ้านเดี่ยว 82% เพิ่มขึ้นจาก 75% ไตรมาส1/2563
  • ทาวน์เฮ้าส์ 9% ลดลงจาก 16% ไตรมาส1/2563
  • คอนโดมีเนียม 9% เท่ากับ ไตรมาส1/2563

ด้านแผนธุรกิจในปีนี้ ค่ายแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมด 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 6,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 5,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 12,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 75 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 45 โครงการ และต่างจังหวัด 30 โครงการ อีกทั้งบริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 20,660 ล้านบาท แบ่งแยกเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 11 โครงการ และต่างจังหวัด 1 โครงการ

พฤกษา รายได้ลด จากคอนโดมิเนียมชะลอตัว

อีกยักษ์อสังหาฯ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) ซึ่งในไตรมาส 1/2564 นี้ รายได้ 3 เดือนแรกของปี มีรายได้ทั้งหมดมาจากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ประกอบด้วยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 6,888 ล้านบาท และรายได้อื่น 9 ล้านบาท รวมรายได้เท่ากับ 6,897 ล้านบาท

แต่หากแยกเฉพาะ กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ มีรายได้6,888 ล้านบาท ลดลง 255 ล้านบาท หรือ 3.6% เมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากคอนโดมิเนียม ที่ลดลง 608 ล้านบาท หรือลดลง 25% ตามการชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ขณะที่รายได้จากบ้านทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4% และรายได้จากบ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 229 ล้านบาท หรือ 16.7%

นอกจากนี้ ยอดขายที่ชะลอตัวของคอนโดมิเนียม ยังส่งผลถึงกําไรสําหรับรอบสามเดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 606 ล้านบาท ลดลง 34.3% จากไตรมาส 1/2563

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ มีโครงการที่เริ่มเปิดขายและยังดําเนินงานอยู่ จํานวน 144 โครงการ มูลค่ารวมโครงการ 161,875 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้

  • ทาวน์เฮ้าส์จํานวน 82 โครงการ มูลค่ารวม 69,263 ล้านบาท
  • บ้านเดี่ยวจํานวน 40 โครงการ มูลค่ารวม 46,008 ล้านบาท
  • โครงการอาคารชุด จํานวน 22 โครงการ มูลค่รวม 46,604 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม พฤกษาฯ ยังคงมั่นใจว่า ปีนี้ จะสามารถทำรายได้และยอดขายได้ที่ 32,000 ล้านบาท โดยจะเดินหน้าเปิด 29 โครงการใหม่ มูลค่า 26,630 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ บ้านเดี่ยว 8 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ “A Year of Value” ส่งมอบคุณค่าอย่างเข้าใจ เข้าถึงลูกค้าอย่างแท้จริง

มิกซ์โปรดักส์-บ้านเดี่ยว ดันยอดแสนสิริโตต่อ

ด้าน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสที่ 1/2564 มีรายรับรวม 6,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก6,527 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2563 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กำไรสุทธิของไตรมาสที่ 1/2564 มีจำนวน 384 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 521% จากกำไรสุทธิ 62 ล้านบาทในไตรมาส 1/2563

การเติบโตของยอดขายและกำไร ของแสนสิริ มีปัจจัยหลักมาจาก การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายโครงการมิกซ์โปรดักส์ และโครงการบ้านเดี่ยว แม้ว่ารายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมและทาวน์โฮมจะลดลงก็ตาม

สำหรับรายได้จากการขายโครงการ บ้านเดี่ยว ปรับเพิ่มขึ้น 36% จาก2,405 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2563 มาอยู่ที่ 3,272 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2564 โดยเฉพาะจากโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า2 โครงการบ้านแสนสิริ พัฒนาการ โครงการเศรษฐสิริ พหล-วัชรพล และโครงการสราญสิริ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ

ส่วนรายได้จากโครงการทาวน์โฮมปรับลดลง 18% จาก 602 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2563 มาอยู่ที่ 493 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2564 และรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมปรับลดลง 25% จาก 2,210 ล้านบาทในไตรมาส 1/2563 มาอยู่ที่ 1,659 ล้านบาท ในไตรมาสที่1/2564

ขณะที่รายได้จากการขายโครงการมิกซ์โปรดักส์ ในไตรมาสที่ 1/2564 มีจำนวน 621 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นถึง 274% จาก 166 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2563 โดยโครงการอณาสิริ บางใหญ่ เป็นโครงการที่มีการรับรู้รายได้สูงที่สุด

แผนงานของแสนสิริ ในปี 2564 ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจกต์ 12 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท

เฟรเซอร์ รับผลกระทบยอดปฏิเสธสินเชื่อ-กำลังซื้อ

ปิดท้ายด้วย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ในไตรมาส 1/1564 มีรายได้รวม 4,282.2 ล้านบาท ลดลง 16.9% หรือ 872.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และกำไร 510.3 ล้านบาท ลดลง 40.1% หรือ 342.1 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักดังนี้

  • รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง 457.6 ล้านบาท หรือลดลง 12.6% เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมชะลอตัว จากสภาวะเศรษฐกิจ ที่ยังคงส่งผลต่อยอดปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งกระทบต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน รวมถึงอำนาจในการซื้อของลูกค้าที่ลดลง
  • รายได้จากการให้เช่าและบริการที่เกี่ยวข้องปรับตัวลดลง 147.7 ล้านบาท หรือลดลง 21.4% โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบของการเริ่มใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า (“TFRS 16”) ทำให้ไม่สามารถรับรู้รายได้สิทธิการเช่ารอตัดบัญชี ภายใต้สัญญาเช่าช่วงที่ดิน 90 ล้านบาทต่อไตรมาส
  • ส่วนงานอาคารสำนักงาน มีรายได้ค่าเช่าปรับลดลงเล็กน้อย จากอาคารโกลเด้นแลนด์บิวดิ้ง ที่ใกล้หมดสัญญาเช่า
  • ส่วนงานโรงงานและคลังสินค้า มีรายได้ค่าเช่าปรับลดลงเล็กน้อยจากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้(“FTREIT”) ในช่วงเดือนกันยายน 2563 ต่อเนื่องถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2564
  • รายได้จากธุรกิจโรงแรมปรับตัวลงลง 74.4 ล้านบาท หรือลดลง 66.1% เนื่องจากอัตราการเข้าพักยังคงลดลงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ โควิด-19

กลยุทธ์ของเฟรเซอร์ฯ จะยังคงเน้นการเป็นแพลตฟอร์มอสังหาฯครบวงจร และกลยุทธ์ “One Platform” โดยยังคงมั่นใจว่าในปีนี้ บริษัทจะสามารถสร้างรายได้ตามเป้าที่ 17,000 ล้านบาท

จากการ วัดชีพจรธุรกิจอสังหาฯ จะเห็นได้ว่า ปีนี้ น่าจะเป็นปีแห่งความท้าทาย และการปรับตัวของธุรกิจอสังหาฯ โดยจะเฉพาะการปรับจากการพัฒนาคอนโดมิเนียม มาสู่อสังหาฯ แนวราบมากขึ้น ตามทิศทางและแนวโน้มของตลาด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo