Economics

จับตา! ‘กสิกรไทย’ จ่อปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ มิ.ย. นี้

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เตรียมปรับประมาณเศรษฐกิจไทยใหม่อีกครั้งในเดือนมิถุนายนนี้ ชี้ “นโยบายด้านสาธารณสุข” คือตัวแปรสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะมีการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่อีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งปัจจุบันยังคงเป้าหมายจีดีพีในปี 2564 เติบโตที่ 1.8% โดยมองว่า จากที่ประเทศไทยเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 อยู่ในขณะนี้ นโยบายหลักซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย คือ นโยบายด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่นโยบายการเงิน และนโยบายการคลังจะเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น

ทั้งนี้ พัฒนาการและความสามารถในการรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไปนั้น ย่อมมีผลต่อพลวัตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งจะเห็นว่าในปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19ในสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และจีนมีทิศทางที่เริ่มคลี่คลาย เนื่องจากมีการกระจายวัคซีนได้รวดเร็ว โดยสหรัฐสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรไปแล้วถึง 36% ส่วนอังกฤษ 29% เป็นต้น ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั่วโลก ที่มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 4.5% ของประชากรโลก ถือว่าทั้งสหรัฐ และอังกฤษทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของโลก จึงทำให้ได้เห็นการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กันบ้างแล้ว

กอบสิทธิ์ ศิลปชัย21564
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

ขณะที่ “ประเทศไทย” การกระจายวัคซีนยังทำได้ในระดับต่ำเพียง 1.1% ของจำนวนประชากรในประเทศเท่านั้น ดังนั้น หากประเทศใดที่สามารถฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ไว และลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่า ก็จะส่งผลให้เกิดความชัดเจนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสามารถเปิดประเทศได้เร็วขึ้น

นายกอบสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยนจะพบว่าเงินบาทในปีที่ผ่านมาอ่อนค่ามาก จากผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิดในรอบแรก แต่ในปีนี้เริ่มกลับมาแข็งค่า 1.8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และหากเทียบกับช่วงต้นปีแล้ว เงินบาทอ่อนค่าไปมากกว่าสกุลเงินของประเทศอื่น จากผลของการกลับมาระบาดในรอบที่ 3 โดยเงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงเมษายน – พฤษภาคมนี้ ถือว่าเป็นช่วงฤดูกาล เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทต่างชาติที่มาเปิดกิจการในไทย มีการนำส่งเงินรายได้จากผลประกอบการกลับสู่ประเทศ

“ช่วง เม.ย.-พ.ค. เงินบาทจะอ่อนค่ากว่าปกติ เป็นเพราะการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่เจ้าของเป็นบริษัทต่างชาติ ซึ่งสัปดาห์นี้น่าจะมีการจ่ายปันผล 18,000-19,000 ล้านบาท ส่วนสัปดาห์หน้าอีกราว 6,500 ล้านบาท หลังจากนั้นก็จะหมด จึงเป็นตัวสะท้อนดุลบัญชีเดินสะพัดส่วนหนึ่ง และทำให้เงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ซึ่งเป็นภาวะของฤดูกาล” นายกอบสิทธิ์กล่าว

อย่างไรก็ดี ธนาคารกสิกรไทย ยังคงมุมมองอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ไว้ที่ 31.10 บาท/ดอลลาร์ ส่วน ณ สิ้นปี 2564 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ระดับ 29.80 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรณีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ถ้ามีการส่งมอบได้ตามเป้าหมาย ก็จะเป็นข่าวดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น สนับสนุนให้เงินบาทกลับไปแข็งค่าขึ้นช้า ๆ ไม่ก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ส่วนการปรับตัวลดลงของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี จะมีผลต่อตลาดทุนไทยอย่างไรนั้น มองว่า อาจจะเป็นแง่ดีได้ เพราะการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยยังไม่กว้างขวางนัก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะส่งผลกระทบให้กำลังซื้อ และความมั่งคั่งหายไป ซึ่งภาวะที่เกิดขึ้นกับคริปโตเคอร์เรนซี ในขณะนี้ น่าจะเป็นการปรับฐาน และยิ่งทำให้เห็นว่าการจะเลือกลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีต้องมีการไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน

ดังนั้น ควรมีโครงสร้างในการกำกับดูแลการลงทุนดังกล่าวที่มากขึ้นและสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีให้มากพอสมควร เพราะการรับรู้เพียงแค่กำไรหรือผลประโยชน์จากการลงทุนเพียงด้านเดียว โดยไม่พิจารณาความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย อาจจะนำไปสู่วิกฤติทางการเงินได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo