Economics

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ มองทั่วโลกกำลังเผชิญความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินปีนี้ยังมีแรงกดดันให้ “เงินเฟ้อ” มีโอกาสขยับสูงขึ้น จากติดลบในปีก่อน เชื่อยังไม่มีผลต่อทิศทางดอกเบี้ย มอง “กนง.” มีแนวโน้มยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำต่อไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานสถานการณ์ “เงินเฟ้อ” ในภาวะปัจจุบัน โดยระบุว่า ทั่วโลกกำลังเผชิญความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสหรัฐ และไทย อย่างไรก็ดี สถานการณ์เงินเฟ้อ และความแข็งแรงของภาวะเศรษฐกิจไทยกับสหรัฐ มีความแตกต่างกัน เพราะสภาวะเงินเฟ้อไทยในปัจจุบัน เกิดขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทาน และเป็นช่วงจังหวะเวลาที่เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญกับแรงกดดัน และความเสี่ยงจากการระบาดของโควิดรอบที่สาม ซึ่งมีผลกระทบโดยตรง ต่อเนื่องยังแนวโน้มการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะที่เหลือของปีนี้และปีหน้า

ดังนั้น แม้ในปี 2564 จะมีแรงกดดัน ให้แนวโน้มเงินเฟ้อ มีโอกาสขยับสูงขึ้น (จากที่ติดลบในปี 2563 ประมาณ -0.8%) และกดดันให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์เงินเฟ้อดังกล่าว เป็นปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งจะยังไม่กดดันให้ ธปท. ต้องปรับเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อทิศทางดอกเบี้ย แต่ในทางกลับกัน คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีแนวโน้มที่จะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำต่อไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

เนื่องจากสภาพแวดล้อมและแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังมีความเสี่ยงสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรง และมีผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจหลายกลุ่ม ซึ่งนั่นเท่ากับว่า อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินระยะสั้นประเภทอื่นๆ ที่เป็นตัวส่งผ่านสัญญาณดอกเบี้ยของกนง. ก็จะมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบต่ำต่อไปเช่นกัน

ในภาวะปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังเผชิญความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสหรัฐและไทย ทั้งนี้แม้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น และปัจจัยเรื่องฐานเปรียบเทียบจะเป็นสาเหตุสำคัญที่หนุนทิศทางเงินเฟ้อในหลาย ๆ ประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2/2564 แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังมีปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศที่เป็นสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เงินเฟ้อขยับสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ยกตัวอย่าง ในสหรัฐ (อัตราเงินเฟ้อสะท้อนจาก CPI อยู่ที่ 4.2% YoY ในเดือนเม.ย. 64) ปัจจัยเฉพาะเพิ่มเติมที่หนุนเงินเฟ้อของสหรัฐ จะเป็นเรื่องของข้อจำกัดในภาคการผลิต – บริการ ซึ่งไม่สามารถตอบสนองได้ทัน กับความต้องการที่เร่งตัวขึ้น หลังจากที่มีการคลายล็อก ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง นอกจากนี้ เงินเฟ้อสหรัฐ ยังน่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่มีแผนจะดำเนินการหลายโครงการ ในช่วงหลายเดือนหลังจากนี้

สำหรับประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในเดือนเมษายน 2564 อยู่ที่ 3.41% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขยับขึ้นจาก -0.08% YoY ในเดือนมีนาคม 2564 โดยแม้สาเหตุหลัก ที่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น จะมาจากปัจจัยเรื่องฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน ที่โดนกระทบจากโควิดรอบแรก แต่ก็ยังคงต้องติดตามแนวโน้มราคาน้ำมัน และสถานการณ์ของค่าเงินบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทย มีโอกาสทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ดี สถานการณ์เงินเฟ้อและความแข็งแรงของภาวะเศรษฐกิจไทยกับสหรัฐ มีความแตกต่างกัน เพราะสภาวะเงินเฟ้อไทยในปัจจุบันเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทาน และเป็นช่วงจังหวะเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันและความเสี่ยงจากการระบาดของโควิดรอบที่สาม ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเนื่องยังแนวโน้มการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะที่เหลือของปีนี้และปีหน้า

ภายใต้สภาวะเงินเฟ้อจากปัจจัยด้านอุปทาน และเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยง และความไม่แน่นอนสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีโอกาสน้อยมากที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น (เพราะไม่ใช่กรณีที่เงินเฟ้อเกิดขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ขยายตัว)

โดย คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะยังคงให้น้ำหนักความสำคัญ กับการดูแลปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าปัญหาเงินเฟ้อ และน่าจะยังต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ด้วยการยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ เพื่อช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวม สอดคล้องไปกับมาตรการด้านการคลัง ที่ยังจะต้องเน้นการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อประคองสถานการณ์กำลังซื้อ และรายได้เพื่อให้ครัวเรือนมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปก่อน

ส่วนผลกระทบของเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น ต่อผลตอบแทนจากการออมและลงทุนนั้น คงต้องย้อนมองฝั่งอัตราดอกเบี้ยตลาดการเงินและอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีการปรับตัวตามกลไกการส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินของ กนง. ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวต่ำ สภาวะเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอ และระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีภาวะสภาพคล่องสูง (4.62 ล้านล้านบาท) จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยตลาดและอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับต่ำตามไปด้วย

ดังนั้น เมื่อเงินเฟ้อเร่งขึ้นจึงส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทย หรืออัตราดอกเบี้ยที่หักด้วยเงินเฟ้อ เริ่มมีค่าติดลบแล้วตั้งแต่ในเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา โดยเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 2564 อยู่ที่ 3.41% YoY สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สำหรับแนวโน้มเงินฝากในปี 2564 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ยอดคงค้างเงินฝากปี 2564 ในระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ น่าจะประคองการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโต อาจชะลอลงมาอยู่ในช่วง 3.5 – 5.0% เทียบกับที่เติบโตสูงถึง 10.9% ในปี 2563 นำโดย การเติบโตของเงินฝากในกลุ่ม CASA ซึ่งจะยังทำหน้าที่แหล่งพักเงิน/สภาพคล่องที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจยังคงมีสัญญาณไม่แน่นอนจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในประเทศ

นอกจากนี้ เงินฝากในกลุ่ม CASA ยังมีความยืดหยุ่นในการใช้ประโยชน์สำหรับธุรกรรมทางการเงินที่หลากหลาย สำหรับภาพรวมการออกแคมเปญเงินฝากใหม่ในปี 2564 นี้ คาดว่า จะยังคงมีจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนแคมเปญที่ครบกำหนด และจะยังคงเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในแคมเปญใหม่ๆ เพื่อบริหารต้นทุนเงินฝากให้เหมาะสม เนื่องจากสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับสูง

โดยสรุป แม้ในปี 2564 จะมีแรงกดดันให้แนวโน้มเงินเฟ้อมีโอกาสขยับสูงขึ้น (จากที่ติดลบในปี 2563 ประมาณ -0.8%) และกดดันให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์เงินเฟ้อดังกล่าวเป็นปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งจะยังไม่กดดันให้ธปท. ต้องปรับเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อทิศทางดอกเบี้ย แต่ในทางกลับกัน กนง. มีแนวโน้มที่จะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำต่อไป

เนื่องจากสภาพแวดล้อม และแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังมีความเสี่ยงสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกที่สามที่มีความรุนแรง และมีผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจหลายกลุ่ม ซึ่งนั่นเท่ากับว่า อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินระยะสั้นประเภทอื่นๆ ที่เป็นตัวส่งผ่านสัญญาณดอกเบี้ยของ กนง. ก็จะมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบต่ำต่อไปเช่นกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo