Business

โควิดซัด ‘ไมเนอร์’ อ่วม ขาดทุนพุ่ง 5,211 ล้าน หวังอานิสงส์วัคซีน-เปิดประเทศ ดันฟื้นครึ่งปีหลัง

พิษโควิดลากยาว ไมเนอร์ รับสภาพไตรมาสแรก รายได้วูบ 44% ขาดทุนพุ่ง 5,211 ล้านบาท โรงแรมหนักสุด หวังวัคซีน เปิดประเทศ พลิกธุรกิจฟื้นครึ่งปีหลัง

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/2564 พบว่า มีรายได้จากการดำเนินงาน 12,499 ล้านบาท ลดลง 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีผลขาดทุน 5,211 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุน 3,173 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2563

ไมเนอร์

สำหรับรายได้และผลกำไรที่ลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากการปิดร้านอาหาร 5 สาขา โดยส่วนใหญ่เป็น เดอะพิซซ่า คอมปะนี และคอฟฟี่ คลับ ในประเทศไทย รวมถึงการปิดโรงแรม 5 แห่ง ได้แก่ เอ็นเอช โฮเทลส์ ที่บริษัทเช่าบริหาร 2 แห่งในอิตาลี และโรงแรมภายใต้สัญญาบริหารอีก 3 แห่งในสวิตเซอร์แลนด์ โปรตุเกส และเม็กซิโก

ทั้งนี้ หากเทียบผลประกอบการ 3 ปี (2561-2563) พบว่า ปี 2563 ไมเนอร์ฯ มียอดขายลดลงต่ำสุด อยู่ที่ 58,695.64 ล้านบาท และยังขาดทุนถึง 21,407.34 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 มีรายได้ 78,840.06 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,444.77 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 มีรายได้เพิ่มเป็น 129,061.60 ล้านบาท กำไรสูงถึง 10,697.93 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจ

  • ธุรกิจร้านอาหาร (ไมเนอร์ ฟู้ด)

เมื่อสิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 บริษัทมีสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 2,365 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 1,187 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 1,178 สาขา โดยแบ่งเป็นสาขาในประเทศไทย 1,582 สาขา และสาขาในต่างประเทศ 783 สาขา ใน 25 ประเทศทั่วเอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แคนาดา และเม็กซิโก

ภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารในไตรมาส 1/2564 พบว่า รายได้รวมลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้การเติบโตของสาขาร้านอาหารในประเทศจีน และการปิดสาขาไม่ทำกำไร ในประเทศออสเตรเลีย เข้ามาช่วยลดผลกระทบในภาพรวมของธุรกิจร้านอาหาร ขณะที่หากดูเฉพาะประเทศไทย ในไตรมาสแรกปีนี้ พบว่ารายได้รวมทุกสาขา ลดลง 24.7% จากโควิด มาตรการเว้นระยะห่าง และการจำกัดเวลาเปิดให้บริการ

  • ธุรกิจโรงแรม (ไมเนอร์ โฮเทลส์)

ในส่วนของธุรกิจโรงแรม ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 บริษัทมีโรงแรมที่ลงทุนเอง 373 แห่ง และมีโรงแรมและเซอร์วิสสวีท ที่รับจ้างบริหารอีก 154 แห่งใน 55 ประเทศ รวมห้องพักทั้งสิ้น 75,168 ห้อง โดยเป็นห้องพักในประเทศไทย 6% และ 94% อยู่ใน 54 ประเทศ ครอบคลุมทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ของกลุ่มธุรกิจโรงแรม พบว่า มีรายได้ลดล 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 1/2563 การระบาดของ โควิด-19 ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในประเทศจีน และไม่แพร่กระจายในประเทศอื่น ๆ จนในเดือนมีนาคม ดังนั้น 2 เดือนแรกของไตรมาสดังกล่าว ยังคงเป็นฐานการดำเนินงานปกติในช่วงก่อนโควิด

ในประเทศไทย สำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนกลุ่มโรงแรมเดิมลดลง 81% ในไตรมาส 1 ปี 2564 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการเปิดพรมแดนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีการระบาดของโควิดระลอกใหม่ ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2563 ขณะที่ภาพรวมของกลุ่มโรงแรมทั้งหมด รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน ในสกุลเงินบาท ของกลุ่มโรงแรมเดิม ลดลง 50% จากผลกระทบเชิงลบของโควิด-19 ในทุกภูมิภาค

  • ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า (ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์)

ปัจจุบัน ไมเนอร์ฯ มีร้านค้าและจุดจำหน่าย 428 แห่งลดลง 45 แห่งจาก 473 แห่ง ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปิดแบรนด์โอวีเอส และเอแดม โดยในไตรมาส 1/2564 รายได้จากธุรกิจดังกล่าวลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจแฟชั่น ได้รับผลกระทบจากการชะลอการจับจ่ายของผู้บริโภค และการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ผลกำไรยังเป็นบวก 45 ล้านบาท จากการเติบโตของสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ในบ้าน และเครื่องครัว

ผลประกอบการ Mint

แนวโน้มในอนาคต

ไมเนอร์ฯ คาดว่า การพัฒนาเชิงบวกของการกระจายวัคซีนไปทั่วโลก ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในปี 2564 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ระยะสั้น ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ และการขยายเวลาของข้อจำกัดในการเดินทาง ในหลายภูมิภาคทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความมั่นใจในแนวโน้มทางธุรกิจในระยะยาว โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 และจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2565

ทั้งนี้ แนวโน้มของธุรกิจโรงแรม จะขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั้งในประเทศและทั่วโลก เนื่องจากการวัคซีนการฉีดวัคซีน จะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินต่อได้อีกครั้ง และประเทศต่าง ๆ สามารถกลับมาเปิดพรมแดนได้

ขณะที่ในประเทศไทย การเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะเริ่มต้นที่เกาะภูเก็ต จะเปิดโอกาสให้มีการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาว

ในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร มีผลการดำเนินงานค่อนข้างแข็งแกร่ง จากการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้ ไมเนอร์ฟู้ด จะยังคงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ และดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายต่อไป ซึ่งแม้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากโควิด ระลอกใหม่ แต่ได้ธุรกิจส่งอาหารของทุกแบรนด์ ช่วยให้ผลกระทบลดลง โดยธุรกิจร้านอาหารในไทย จะมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของลูกค้า และโปรแกรมความภักดีของแต่ละแบรนด์ รวมทั้งจะขยายเครือข่ายร้านอาหารอย่างระมัดระวัง โดยเน้นไปตลาดที่บริษัทยังเข้าไม่ถึง

ด้าน ไมเนอร์ไลฟ์สไตล์ จะเน้นการซื้อผ่านช่องทาง ออมนิชาแนล มากขึ้น โดยนอกเหนือจากเว็บไซต์ของแบรนด์เองแล้ว ไมเนอร์ไลฟ์สไตล์ มีแผนจะร่วมมือกับแพลตฟอร์มการขายออนไลน์รายใหม่เพิ่มเติม เพื่อขยายฐานลูกค้า รวมทั้งจะได้รับประโยชน์จากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อ และทำความสะอาด ซึ่งยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย

ส่วนสภาพคล่อง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 บริษัทมีเงินสดในมือ 2.1 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อ 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะรับรองรับกระแสเงินสด จากการดำเนินงานที่เป็นลบ ในภาวะที่มีความผันผวนระยะสั้นนี้

นอกจากนี้ สถานะเงินสดของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น จากธุรกรรมการหมุนเวียนสินทรัพย์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะเดียวกันยังมีแผนจะออกหุ้นกู้จำนวนไม่เกิน 6,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการหนี้สินและสภาพคล่องด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo