Business

ยุ่งแล้ว! มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นำทีมฟ้อง กขค. ระงับการควบรวม ‘ซีพี-เทสโก้’

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลัง 37 องค์กรผู้บริโภค ฟ้องคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ควบรวมกิจการ ซีพี-เทสโก้ อาจขัดต่อกฎหมาย

จากกรณีที่ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 3 อนุญาตให้ บริษัท ซีพี รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ควบรวมธุรกิจกับ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 โดยให้เหตุผลว่าการรวมธุรกิจ ทำให้มีอำนาจตลาดเพิ่มแต่ไม่ผูกขาด และจำเป็นต้องควบรวมตามควรทางธุรกิจ ทำให้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายผู้บริโภค ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านการอนุญาตดังกล่าวนั้น

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

 

ล่าสุดในวันนี้ (15 มีนาคม 2564) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ 37 องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และ สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ต่อศาลปกครอง กรณีมีมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ซีพี – เทสโก้ อาจขัดกฎหมาย ในประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. มติการรวมธุรกิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

  • ไม่ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนทั่วไป จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย เนื่องจากการอนุญาตดังกล่าว มีผลกระทบต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ในห่วงโซ่อุปทานตลาดสินค้าอุปโภคบริโภ ซึ่งกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
  • การกำหนดกรอบในการลงมติของคณะกรรมการ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโดยทั่วไปการลงมติ ต้องมีมติในประการแรกก่อน ว่าเห็นควรให้มีการควบรวมธุรกิจหรือไม่ หากมีมติให้รวมได้ คณะกรรมการจะต้องร่วมพิจารณาเงื่อนไขทางโครงสร้างและเงื่อนไขเชิงพฤติกรรม เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใดมีbอำนาจเหนือตลาด

แต่การลงมติครั้งนี้ กลับมีเงื่อนไขว่า คณะกรรมการที่ลงมติไม่เห็นชอบ จะไม่มีสิทธิกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้างและเงื่อนไขเชิงพฤติกรรม จึงเป็นการกำหนดเงื่อนไขการลงมติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายbและไม่ให้สิทธิกรรมการโดยเท่าเทียมกัน

ซีพี

  • ไม่เปิดเผยรายชื่อคณะอนุกรรมการที่พิจารณาคำขออนุญาต ซึ่งอนุกรรมการบางคนอาจเป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับผู้ขออนุญาตหรือไม่
  • การใช้ดุลยพินิจที่ไม่เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ไม่รอบคอบ และ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่

หนึ่ง ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560

สอง ไม่มีความจำเป็นทางธุรกิจ หรือ เป็นการส่งเสริมการประกอบธุรกิจแต่อย่างใด

ผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจ ไม่ได้มีความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ตรงกันข้ามกลับมีส่วนแบ่งในตลาด สูงถึงร้อยละ 69.3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้มี อำนาจเหนือตลาด อยู่แล้ว และเมื่อควบรวมแล้วจะทำให้มีอำนาจเหนือตลาดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83.97

สาม จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นการกินรวบ เพราะการรวมธุรกิจมีโอกาสทำให้เกิดการผูกขาดสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้บริโภค

สี่ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยรวม เมื่อจำนวนผู้แข่งขันในตลาดลดลง ผู้บริโภคย่อมมีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อยลง

ห้า ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ การควบรวมทำให้ผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ทำให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตสินค้าหรือวัตถุดิบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตที่เป็น SMEs ผู้ผลิตสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง

หก ทำให้คู่แข่งทางธุรกิจรายเดิม หรือรายใหม่เข้าสู่ตลาดยากขึ้น จนต้องเลิกทำธุรกิจในที่สุด ส่งผลให้ผู้ขอรวมธุรกิจอาจเป็นผู้ประกอบธุรกิจเพียงรายเดียวในตลาด

เจ็ด ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง ในขณะที่เงื่อนไขเชิงพฤติกรรมก็อาจบังคับได้ยากหรือไม่ได้เลย โดยเงื่อนไขแต่ละข้อขัดแย้งกันเอง และมีกำหนดระยะเวลาที่สั้นเกินสมควร

2. เป็นมติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ขัดกับ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ขัดต่อเจตนารมณ์ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 และขัดกับวัตถุประสงค์และพันธกิจของสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า

ผู้ฟ้องคดี จึงขอให้ศาลไต่สวนคำร้อง และ ขอให้ศาลมีคำสั่ง กำหนดมาตรการคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราว โดยมีคำสั่งให้ระงับการรวมธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ ของบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ไว้ก่อนชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษา ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าที่อนุญาตให้มีการรวมธุรกิจในตลาดค้าส่ง ค้าปลีกระหว่างบริษัท ซีพีฯ กับ บริษัท เทสโก้ฯ

หากศาลไม่มีคำสั่งให้เพิกถอน ขอให้ศาลกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง เพื่อป้องกันการผูกขาดตลาดสินค้าอุปโภค บริโภค ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ คือ

  • ให้บริษัท ซีพีฯ กับบริษัท เทสโก้ฯ ขายกิจการหรือทรัพย์สินบางส่วน ที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคออกไป เพื่อไม่ให้ อำนาจเหนือตลาด อันเป็นการผูกขาดได้
  • ห้ามบริษัท ซีพีฯ ขยายสาขาเพิ่มขึ้นภายในเวลา 10 ปี ภายหลังการร่วมธุรกิจแล้ว
  • ให้เพิ่มเงื่อนไขด้านระยะเวลา จากเดิมที่คณะกรรมการเสียงข้างมากกำหนดไว้ โดยขยายเวลาจากเดิม 5 ปี เป็น 10 ปี และจากเดิม 2 ปี เป็น 5 ปี

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการรวมธุรกิจค้าส่งค้าปีกสมัยใหม่ของบริษัท ซีพีฯ และ บริษัท เทสโก้ฯ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพากษาถึงที่สุด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo