วิกฤติโควิด อีคอมเมิร์ซ กดดัน ห้างสรรพสินค้าไทย ปรับตัวครั้งใหญ่ สร้างนิยามใหม่ รับเทรนด์ในอนาคต พัฒนาบริการใหม่ สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า
ตลาดค้าปลีกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมและความชอบของผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงผลกระทบจาก วิกฤติโควิด อีคอมเมิร์ซ กลยุทธ์แบบเดิมๆ จะกลายเป็นอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับห้างสรรพสินค้าที่รูปแบบการให้บริการและการนำเสนอสินค้ายังคงเหมือนเดิมมานานหลายสิบปี
นางสาวจริยา ถ้ำตรงกิจกุล หัวหน้าแผนกพื้นที่ค้าปลีก ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในขณะที่ห้างสรรพสินค้ามอบความสะดวกสบายให้แก่นักช้อป ด้วยการประหยัดเวลา เพราะมีการนำเสนอ และจัดกลุ่มสินค้าที่มีความหลากหลาย ไว้ตามแผนกต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าสามารถค้นหา เปรียบเทียบ และเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
แต่อย่างไรก็ตาม ห้างสรรพสินค้ารูปแบบเดิม ไม่อาจตอบสนองกับความต้องการ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมของผู้ซื้ออีกต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
จากข้อมูลของแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ณ ไตรมาส 4 ปี 2563 พบว่าพื้นที่ค้าปลีกทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร มีทั้งสิ้น 7.8 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 1.16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวนี้ มีเพียงราว 3% เท่านั้นที่เป็นพื้นที่ห้างสรรพสินค้า
สำหรับตลาดห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย มีผู้เล่นหลัก เป็นบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในประเทศ 2 ราย คือ กลุ่มเซ็นทรัล และเดอะมอลล์ กรุ๊ป ซึ่งถือว่ามีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะพื้นที่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังขยายสาขาห้างสรรพสินค้า ไปในเมืองใหญ่หลายแห่งทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้า ให้ครอบคลุมมากขึ้น
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ให้ความสนใจต่อตลาดห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นเหล่านี้ ต่างพยายามแข่งขัน ด้วยการนำเสนอคุณลักษณะอันเป็นจุดเด่น ของห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่น ที่ทุกคนต่างทราบดีว่า มุ่งเน้นการให้บริการอย่างพิถีพิถัน และนำเสนอคุณภาพสินค้าระดับพรีเมียม
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นหลายราย ได้ทยอยยุติแผนการขยายสาขา และบางส่วนได้ออกจากตลาดประเทศไทย เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศไทย ทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย และธุรกิจห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นที่หดตัวโดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ
ทั้งนี้ แนวคิดของห้างสรรพสินค้า ในฐานะแหล่งช้อปปิ้งแบบครบวงจร ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าบางกลุ่มอยู่ แต่การแทรกแซงจาก อี-คอมเมิร์ซ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า จำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจ สิ่งที่นำเสนอ และบริการเสริมต่างๆ ที่มีให้กับลูกค้า เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจ และตลาดที่มีความท้าทาย
ขณะที่มีคนรุ่นใหม่จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ยังคงเป็นที่เชื่อว่า ร้านค้าที่มีหน้าร้าน ยังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อคนไทยอยู่มาก ห้างสรรพสินค้าจึงควรมีความคล่องตัวมากขึ้น ในยุคของ อี-คอมเมิร์ซ และนำเอานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีมาปรับใช้ เช่น ระบบการให้บริการอัตโนมัติภายในร้านค้า และการชำระเงินผ่านมือถือ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอายุน้อย เป็นต้น
การปรับตัวของห้างสรรพสินค้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ประสบการณ์ของลูกค้าในการใช้บริการ, กิจกรรมด้านการขายและการตลาดที่สร้างสรรค์ และบริการเสริมที่มีให้แก่ลูกค้า ดังนี้
ประสบการณ์ของลูกค้าในการใช้บริการ
การออกแบบพื้นที่ขาย ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้า ในการเข้ามาใช้บริการ ห้างสรรพสินค้าอาจสร้างสรรค์พื้นที่ได้มากขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่เดิม ๆ ให้เป็นพื้นที่ที่มีความแปลกใหม่ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการ รวมถึงการมีสินค้าที่หลายหลาก สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กว้างขึ้น
ตัวอย่างเช่น เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้เปิดตัวแนวคิด “Lifestore” แห่งแรกขึ้นที่ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน เมื่อปลายปี 2563 โดยออกแบบและปรับปรุงพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าขึ้นใหม่ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดี และสร้างความเพลิดเพลินให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ
กิจกรรมด้านการขายและการตลาดที่สร้างสรรค์
โดยทั่วไปแล้ว ราคาสินค้าที่ขายในห้างสรรพสินค้า จะถูกกำหนดไว้ค่อนข้างสูง เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง และการดำเนินงานที่สูงกว่า ทำให้กลุ่มลูกค้า ถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ระดับปานกลางค่อนข้างสูง ถึงระดับสูง
นอกจากนี้ แบรนด์ของสินค้าที่ขาย อาจจะไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกต่อไป เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ในการซื้อสินค้าออนไลน์ ยังไม่รวมถึงปริมาณลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ
แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า กลยุทธ์หลัก ที่ผู้ประกอบการธุรกิจห้างสรรพสินค้าในประเทศ ใช้ในการสร้างยอดขายให้เติบโต คือการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมการตลาดอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการร่วมมือกับบัตรเครดิตต่าง ๆ ในการจัดกิจกรรมลดราคา
บริการเสริมที่มีให้แก่ลูกค้า
สำหรับปัจจัยที่สามที่ควรพิจารณานั้นก็คือ บริการเสริมต่างๆ เช่น ผู้ช่วยช้อปส่วนตัว โปรแกรมสำหรับลูกค้าสมาชิก และการให้บริการเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งได้กลายเป็นเทรนด์ใหม่ เนื่องจากลูกค้า ซึ่งรวมถึงประชากรสูงอายุต่างมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน
ซีบีอาร์อีเชื่อว่า ห้างสรรพสินค้าที่ปรับตัว จะมีโอกาสที่ดี ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ควรใช้ประโยชน์จากความหลากหลายที่มี ความเชี่ยวชาญในเรื่องความต้องการของลูกค้าในพื้นที่เป้าหมาย การดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ ซึ่งสนใจเรื่องเทรนด์ใหม่ๆ มากขึ้น รวมทั้งการปรับรูปแบบพื้นที่ขายเดิม ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ตัวเลขว่างงานพุ่ง กดดัน ‘ดาวโจนส์’ ร่วง
- ‘ยงสงวน’ ค้าปลีกท้องถิ่นเมืองอุบล ฉีกทุกข้อจำกัดค้าปลีก ‘2 แบรนด์ราคาเดียว’
- ‘สยามพิวรรธน์’ จับมือคู่ค้า เปิดเวทีเสริมความรู้ รับมือ ‘ค้าปลีกยุคดิจิทัล’