ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้า ต.ค. เพิ่มขึ้น แตะระดับ 33.2 จากปัจจัยบวก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังห่วงปัญหาการเมือง โควิด-19 ส่งออกและค่าเงินบาท
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC Confidence Index) หรือ TCC-CI ซึ่งสำรวจจากภาคธุรกิจ และหอการค้าทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวม 364 ตัวอย่าง พบว่า ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้า ต.ค. 2563 อยู่ที่ระดับ 33.2 เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ย. 2563 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 32.5
ทั้งนี้ ดัชนีฯ ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากปัจจัยบวก ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 ใหม่ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ -7.7% ดีขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ -8.5%
นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลดำเนินมาตรการ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในช่วงปลายปี อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง และโครงการช้อปดีมีคืน รวมถึงราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ที่ปรับตัวลดลงจากเดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยลบ ที่มีผลต่อดัชนีฯ ในเดือนต.ค.นี้ ได้แก่ สถานการณ์ของการเคลื่อนไหวทางการเมือง และการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเยาวชน และประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เหมือนอดีตที่ผ่านมา
ขณะที่ยังมีความวิตกกังวล ต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชน และการดำเนินธุรกิจ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม, ความกังวลจากสหรัฐอเมริกา ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ในสินค้าไทยเพิ่มเติม อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ส่วนการส่งออกของไทยเดือน ก.ย. 63 ลดลง -3.86 และเงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนว่ามีเงินทุนจากต่างประเทศสุทธิ ไหลเข้าประเทศไทย และผลจากความกังวล เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจจะกลับมา จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เมื่อแยกตามรายภูมิภาค ได้แก่
กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 33.8
ปัจจัยบวก มาจากการท่องเที่ยวภายใน ประเทศที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ภาคบริการต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง และมาตรการช็อปดีมีคืน
ปัจจัยลบ ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมือง จากการชุมนุมประท้วง ของกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย, ความวิตกกังวลเกี่ยวกับโควิดรอบ 2 ที่อาจจะกลับมา จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และกำลังซื้อยังคงไม่กลับมา
ภาคกลาง ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 33.4
ปัจจัยบวก มาจากภาคการเกษตรเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูก และภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น
ปัจจัยลบ ได้แก่ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนจากพายุที่เคลื่อนตัวเข้ามาในประเทศไทย, สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก ดินสไลด์ และวาตภัย จากอิทธิพลพายุ, หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และการจ้างงานน้อยลง
ภาคตะวันออก ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 37.4
ปัจจัยบวก จาก มาตรการภาครัฐในการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพ ด้านการเพาะปลูก และการให้ความช่วยเหลือด้านราคาสินค้าของเกษตรกร, อุตสาหกรรมการผลิตอาหารขยายตัว จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยเพิ่มมากขึ้น ในช่วงวันหยุด
ปัจจัยลบได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มเข้ามาจากการเปิดรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ, ความกังวล หรือการต่อรอง การลดชั่วโมงการทำงาน, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังไม่เข้ามา และระดับรายได้ของประชาชนยังไม่ปกติ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 32.3
ปัจจัยบวก ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มดีขึ้นส่งผลให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายมากขึ้น และค่อยๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน
ปัจจัยลบ ได้แก่ ความกังวลต่อการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามา ซึ่งสร้างความเสี่ยงในการระบาดของไวรัสโควิดในประเทศไทยอีกครั้ง, สถานการณ์น้ำท่วมในบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่งผลกระทบต่อประชาชน, หนี้ภาคครัวเรือนที่ขยับสูงขึ้น และแรงงานยังคงตกงาน
ภาคเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 33.2
ปัจจัยบวก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน
ปัจจัยลบ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับเหตุชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้น, ความกังวลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากใกล้ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของภาคเหนือ, การแพร่ระบาดของโควิด-19 จากชายแดนของไทย และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น
ภาคใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 30.2
ปัจจัยบวก ได้แก่ ความต้องการไม้ผลเพิ่มขึ้นและทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น และราคาน้ำมันปาล์มดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้พลังงานไบโอดีเซลภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยลบ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวยังคงไม่ฟื้นตัวเนื่องจากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศ แม้จะเริ่มเปิดให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก Special Tourist Visa (STV), ผลผลิตลดลงจากภาวะฝนตกชุก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกรีดยางพารา และทำให้เกษตรกรชะลอการเก็บปาล์มน้ำมัน และการระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
- มาตรการช่วยเหลือธุรกิจส่งออก โดยการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน พร้อมลงทุนในสิ่งใหม่ ๆ ให้มีความต่อเนื่อง
- รักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน เพื่อช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าไทย
- การผลักดันการส่งออกไปตลาดอื่น โดยเฉพาะตลาดจีนเพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และเศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวหลังจากโควิด-19
- มาตรการกระตุ้นกำลังการซื้อของประชาชนในประเทศให้เข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากหยุดนิ่งไปจากสถานการณ์โควิด-19
- การจัดสวัสดิการและมาตรการช่วยเหลือ ให้กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น มีการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สาธารณสุขให้มีความเท่าเทียมมากขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ เดือน ต.ค. ขยับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
- ไตรมาส 3 ‘นกแอร์’ ขาดทุนเพิ่ม 1.4 พันล้าน ‘ประเวช’ ทิ้งประธานกรรมการบริหาร
- คลังเล็งออกพันธบัตรออมทรัพย์ 1 แสนล้าน คาดล็อตแรกขายหลังปีใหม่