“นายกฯ” ดันไทยเป็นฐานผลิต “รถยนต์ไฟฟ้า” ครบวงจร ปิ๊งไอเดีย! นำร่องใช้ในหน่วยราชการก่อนขยายไปขนส่งมวลชน เผยค่ายรถอันดับหนึ่งสหรัฐฯ สนใจลงทุนในไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการระหว่างการประชุม คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) ว่า แม้รัฐบาลกำลังรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ไทยต้องเตรียมทุกด้านให้พร้อมไว้ทั้งกฎระเบียบ แรงงาน โครงข่ายระบบดิจิทัลเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เดินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมยานยนต์อัจฉริยะ
นายกฯ ยังเสนอให้มีการใช้ยานพหนะไฟฟ้า (Electric Vehicles: EV) และ รถยนต์ไฟฟ้า ในส่วนราชการเป็นการนำร่อง ก่อนจะขยายไปรถขนส่งสาธารณะในปี 2564 ด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ด BOI ครั้งล่าสุด ได้เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการลงทุนการผลิต EV รอบใหม่ ครอบคลุมการส่งเสริม EV ทุกประเภท ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสารและรถบรรทุก รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่เป็นหลัก (Battery Electric Vehicles: BEV) ให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมควบคู่ไปด้วยกันได้
สำหรับการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
ทั้งนี้ จะมีได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 หรือมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา หากมีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicles (PHEV) ด้วย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชิ้น
2.กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
3.กิจการผลิตสามล้อไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
4.กิจการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
นอกจากนี้ ยังปรับปรุงขอบข่ายและสิทธิประโยชน์ของประเภทกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับ EV เพิ่มเติมรายการชิ้นส่วนสำคัญอีก 4 รายการ ได้แก่
- High Voltage Harness
- Reduction Gear
- Battery Cooling System
- Regenerative Braking System
พร้อมทั้งปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้จูงใจมากขึ้นสำหรับกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีการลงทุนในขั้นตอนที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ในอัตรา 90% เป็นระยะเวลา 2 ปี กรณีที่มีขั้นตอนการผลิต Module หรือ Cell เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค รวมทั้งการผลิตเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วย โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 – 2562 มีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมฯแล้ว 26 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 78,099 ล้านบาท โดย 7 โครงการที่มีการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว แบ่งเป็น
- Hybrid Electric Vehicles (HEV) 3 ราย ได้แก่ นิสสัน ฮอนด้า และโตโยต้า
- Plug-in Hybrid Electric Vehicles (PHEV) 2 ราย ได้แก่ เมอร์เซเดส เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู
- Battery Electric Vehicles (BEV) 2 ราย ได้แก่ ฟอมม์ และ ทาคาโน
“ในอนาคตโลกมีแนวโน้มการใช้รถ EV มากถึง 60% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมด ด้วยความชัดเจนในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ไทยจะสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางฐานการผลิต EV ของอาเซียน โดยขณะนี้มีนักลงทุนหลายราย หลายสัญชาติแสดงความพร้อมที่จะเข้าลงทุนใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถ EV ล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ยังเผยว่า ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของสหรัฐยังเข้ามาติดต่อรับข้อมูลด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ บอร์ด BOI ยังได้มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นการลงทุนใน 3 ประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กิจการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง และกิจการวิจัยทางคลินิกอีกด้วย อีกทั้งขยายเวลาและปรับปรุง “มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ” ให้ครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ โดยสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึง ธันวาคม 2565
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- จ่ายโบนัส ปี 63 สุดปัง! โตโยต้าทูโชฯ นำลิ่ว 9.25 เดือน ค่ายรถยนต์ ยังจัดหนัก
- ตื่นเต้น! ส.อ.ท.เผยยอดขายรถยนต์ในประเทศดีขึ้น คาดทั้งปีโตตามเป้า
- จีนจ่อขึ้นแท่น ‘ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า’ ใหญ่สุดอีกครั้งสิ้นปีนี้