ชำระเงินไร้สัมผัส โตต่อเนื่อง ดันสนามอีวอลเล็ตแข่งเดือด รับเทรนด์ลูกค้ายุคดิจิทัล เปลี่ยนพฤติกรรม โดยมีโควิด และมาตรการเว่นระยะห่างเป็นตัวเร่ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของ โควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญ ที่ทำให้พฤติกรรมการโอนเงิน และชำระค่าสินค้า รวมถึงบริการ ของผู้บริโภคไทยเปลี่ยนไป โดยเกิด New Normal ที่มุ่งสู่การโอน และ ชำระเงินไร้สัมผัส (Contactless Payment) เพิ่มมากขึ้น
จากการสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า หลังจากที่การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในไทยคลี่คลายลง ยังมีผู้บริโภคที่ใช้งานธนาคารผ่านมือถือ (Mobile Banking) และ อีวอลเล็ต (e-Wallet) มากขึ้น และมีผู้บริโภคกลุ่มใหม่เข้ามาใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย โดยเป็นกลุ่มผู้บริโภคในช่วงวัย 35–44 ปี ที่ใช้งานเพิ่มขึ้น จากเดิมที่การใช้งานกระจุกตัวอยู่ที่ช่วงวัย 25–34 ปี
ทั้งนี้ จากการสำรวจยังพบว่า ลักษณะของแอปพลิเคชัน Mobile Banking และ e-Wallet 3 อันดับแรก ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน คือ 1. สามารถรวมทุกบัญชีออนไลน์ ไว้ในแอปพลิเคชันเดียว 2. ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน และ 3) มีฟีเจอร์ การใช้บัตรเครดิต
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2563 การโอนและชำระเงินผ่าน Mobile Banking และ e-Money จะยังคงโตต่อเนื่อง และแม้ว่าจะได้รับแรงผลักดันจากพฤติกรรม Contactless Payment หรือการชำระเงินไร้สัมผัส แต่อัตราการเติบโตก็ชะลอลง เนื่องจากมูลค่าธุรกรรมต่อครั้งลดลง
นอกจากนี้ ยังมีผลมาจาก ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อลดลง จากผลของภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดว่า จะมีปริมาณธุรกรรมโอน และชำระเงินผ่าน Mobile Banking ราว 7,758.0–7,927.5 ล้านรายการ ขยายตัว 57.5–61.0%
ขณะที่มูลค่าธุรกรรมประมาณ 28,910.4–29,707.2 พันล้านบาท ขยายตัว 18.4–21.7% จากปี 2562 ส่วนปริมาณธุรกรรมผ่าน e-Money อยู่ที่ราว 1,990.1–2,038.0 ล้านรายการ ขยายตัว 1.2–3.7% มีมูลค่าประมาณ 286.3–291.1 พันล้านบาท ขยายตัว 1.5–3.2% จากปี 2562
สำหรับในระยะข้างหน้า ผู้ให้บริการโอน และชำระเงิน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Mobile Banking และ e-Wallet ในไทยยังมีโอกาสเติบโต แต่ก็ต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้น จากการเข้ามาของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการ e-Wallet
ดังนั้น ในระยะข้างหน้า จะได้เห็นการแข่งขัน การทำกลยุทธ์ด้านราคา และโปรโมชั่นของกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยน่าจะเป็นการทำการตลาด เพื่อกระตุ้นการเปิดใช้บริการ ของทั้งทางฝั่งผู้บริโภค และผู้ประกอบการร้านค้า และร้านอาหารต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับ ผลสำรวจของวีซ่า ที่พบว่า 81% ของผู้บริโภคชาวไทย เข้าใจถึงคอนเซ็ปต์ของการทำ ธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล ที่เป็นการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ หรือสมาร์ทโฟนในการเข้าถึงบัญชีธนาคาร โอนเงิน จ่ายบิล และอื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ต้องเดินทางไปยังธนาคารสาขาหรือใช้เงินสด
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า ความสะดวก คือ แรงจูงใจหลักในการเลือกทำ ธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล (61 เปอร์เซ็นต์) ตามมาด้วยข้อดีในเรื่องของการที่ไม่ต้องรอคิวที่ธนาคารสาขา (60 เปอร์เซ็นต์) และเป็นทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงิน (57 เปอร์เซ็นต์)
สำหรับ 5 บริการ ที่ผู้บริโภคชาวไทยเลือกที่จะใช้บริการ ธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล คือ การฝากและถอนเงิน (72 เปอร์เซ็นต์) ชำระบิลต่างๆ (70 เปอร์เซ็นต์) โอนเงินไปยังครอบครัวและเพื่อน (69 เปอร์เซ็นต์) ชำระเงิน ณ ร้านค้า (67 เปอร์เซ็นต์) และการเข้าถึงบริการเพื่อการลงทุน (58 เปอร์เซ็นต์)
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เจนวายชาวไทย อยากใช้ ‘ไบโอเมตริกซ์’ ยืนยันตัวตน ในการชำระเงิน
- โควิด-19 ตัวเร่ง การชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล ไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด
- ชำระเงินไร้สัมผัส มาแรง 8 ใน 10 คนไทย เลือกจ่ายแทนเงินสด