Business

วิจัยเผยหนี้ ‘อีสาน’ น่าห่วง ช่วงโควิด-19 เข้ามาตรการช่วยเหลือสูง 40-60%

วิจัยเผย หนี้ “อีสาน” น่าเป็นห่วง ช่วง โควิด-19 มีสินเชื่อเข้ามาตรการช่วยเหลือสูง 40-60% ส่วนใหญ่ขอเลื่อนชำระเงิน

เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความ “เจาะความท้าทายใหม่ของหนี้ครัวเรือนไทยในวิกฤติโควิด-19 จากข้อมูลสินเชื่อที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือ”

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความที่จะนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ซึ่งจะจัดในวันที่ 28 กันยายน 2563 มีเนื้อหาหลักว่า

หนี้ โควิด-19 อีสาน

โควิด-19 ทำเสี่ยงเกิด “วิกฤติหนี้รายย่อย”

หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยในหลายปีที่ผ่านมา กว่า 1 ใน 3 ของคนไทยมีภาระหนี้สูง และส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ คนไทยมีหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย มีหนี้นานตั้งแต่เริ่มทำงานจนเกษียณ และมีหนี้จนแก่ และ 84% ของครัวเรือนก็ยังพึ่งพาหนี้จากสถาบันการเงินกึ่งในระบบและนอกระบบเป็นสัดส่วนสูง

ภาระหนี้ที่สูงได้กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งการอุปโภคบริโภคและการลงทุน และทำให้ครัวเรือนไทยขาดภูมิคุ้มกันต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

วิกฤติ โควิด-19 ซึ่งส่งผลทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีปัญหาในการชำระ หนี้ ก็ได้ตอกย้ำถึงความเปราะบางดังกล่าว และทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีความท้าทายขึ้นมากท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงจากความเสี่ยงที่จะเกิดระบาดระลอกที่ 2 (Second Wave) และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจไม่รวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงทำให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็น “วิกฤติหนี้รายย่อย” ความท้าทายใหม่นี้สะท้อนถึงความสำคัญของข้อมูลและความเข้าใจเชิงลึกถึงปัญหาของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง

งานวิจัยนี้เปิดมิติใหม่ในการเรียนรู้ผลกระทบจากวิกฤติ โควิด-19 เพื่อสร้างความเข้าใจถึงสถานการณ์ หนี้ ครัวเรือนไทยในอนาคต โดยศึกษาคุณลักษณะของบัญชีและผู้กู้ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมากว่า 8.1 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ทั้งหมด 2.2 ล้านล้านบาท (หรือประมาณ 70% ของตัวเลขจำนวนบัญชีที่เข้ามาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563)

ผู้วิจัยได้สร้างสมมติฐานเพื่อแยกแยะบัญชีดังกล่าวจากฐานข้อมูลเชิงสถิติจากเครดิตบูโร ที่ครอบคลุมสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงิน 102 แห่ง โดยในข้อมูลไม่ได้มีการรายงานสถานะการเข้ามาตรการจากสถาบันการเงินแต่อย่างใด big data ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า

วิจัย หนี้ โควิด-19

“อีสาน” น่าเป็นห่วง สินเชื่อ เข้ามาตรการช่วยเหลือสูง

ความเข้มข้น (Intensity) ของการเข้ามาตรการสูงในวงกว้าง จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน พบว่า

  • สินเชื่อ ส่วนใหญ่ 59.7% เข้ามาตรการในเดือนเมษายน
  • 42.4% เข้ามาตรการครบ 3 เดือนในเดือนมิถุนายน
  • ขณะเดียวกันก็มีบัญชีกว่า 16.6% ที่เข้ามาตรการแล้วออกไปก่อนครบ 3 เดือน

แสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่ไม่เท่ากันของผู้กู้แต่ละกลุ่ม โดยข้อมูลในเดือนกรกฎาคมจะช่วยฉายภาพให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อมาตรการระยะแรกเริ่มหมดไป

เมื่อพิจารณาลักษณะการเข้ามาตรการของบัญชีทั้งหมด พบว่า

  • 70.5% เป็นการเลื่อนชำระ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงการมีปัญหาในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในวงกว้าง
  • 25.8% เป็นการลดอัตราการชำระ
  • 3.7% เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสีย (ปรับโครงสร้างหนี้ หรือคลินิกแก้หนี้)

ผู้กู้ส่วนใหญ่ 76.1% มีสินเชื่อเข้ามาตรการเพียง 1 บัญชี แต่ก็มีผู้กู้อีก 7.3% ที่เข้ามากกว่า 2 บัญชี และอีก 4.9% ยังได้สินเชื่อใหม่เพื่อเป็นสภาพคล่องฉุกเฉินด้วย

สินเชื่อที่เข้ามาตรการช่วยเหลือมีลักษณะกระจุกตัว ทำให้บางพื้นที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในภาคอีสานตะวันออก ที่มีสัดส่วนสินเชื่อเข้ามาตรการสูงถึง 40-60% ซึ่งส่วนใหญ่เป็น สินเชื่อ ส่วนบุคคล ซึ่งมีจำนวนบัญชีมาก และสินเชื่อบ้าน ซึ่งมีขนาดมูลหนี้สูง และส่วนใหญ่ก็เป็นการเข้ามาตรการในลักษณะเลื่อนการชำระเป็นหลัก ในขณะที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคใต้และเหนือตอนบน ก็มีสัดส่วนสินเชื่อที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียสูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ

แนะป้องกัน “หนี้ดี” กลายเป็นหนี้เสีย

ความเสี่ยงของพอร์ต สินเชื่อ รายย่อยของสถาบันการเงินต่อสินเชื่อที่เข้ามาตรการแตกต่างกันมาก โดยกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) มีสัดส่วนสินเชื่อในพอร์ตเข้ามาตรการมากที่สุด 10 อันดับแรก 37-75% และส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ และเข้ามาตรการในลักษณะลดอัตราการชำระ แต่ก็มีความหลากหลายสูงเพราะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนต่ำสุด 10 อันดับสุดท้ายด้วย ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วน 3-25% และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีสัดส่วน 10-35% (ไม่รวมสินเชื่อเกษตร)

ผู้กู้ที่เข้ามาตรการมีภาระหนี้สูงและคุณภาพด้อยกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าผู้กู้ที่เข้ามาตรการมีมูลหนี้และจำนวนบัญชีสินเชื่อในพอร์ตสูงกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้า

โดยผู้กู้ที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสีย มีภาระหนี้มากที่สุด มูลหนี้เฉลี่ย 1.7 ล้านบาทจาก 6 บัญชี รองลงมาคือผู้กู้ที่เลื่อนชำระ เฉลี่ย 0.9 ล้านบาทจาก 6 บัญชี และผู้กู้ที่ลดอัตราการชำระ เฉลี่ย 1.1 ล้านบาทจาก 5 บัญชี ทั้งนี้ ผู้กู้ที่มีหลายบัญชีส่วนใหญ่ยังใช้สถาบันการเงินเพียง 1-2 แห่ง

นอกจากนี้ ผู้กู้ที่เข้ามาตรการยังมีประวัติการชำระหนี้ใน 12 เดือนที่ผ่านมาด้อยกว่า และมีอายุมากกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้าอย่างมีนัยสำคัญด้วย

ภูมิทัศน์จากข้อมูล สินเชื่อ ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือข้างต้นได้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในวงกว้างและความแตกต่างของความเปราะบางทั้งในระดับผู้กู้ พื้นที่ และสถาบันการเงินเมื่อมาตรการช่วยเหลือระยะแรก ๆ ได้สิ้นสุดลง และสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของนโยบายแก้หนี้ในอนาคต ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการมุ่งเป้าความช่วยเหลือ การบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุก เพื่อป้องปรามไม่ให้บัญชีหนี้ดีจำนวนมากกลายเป็นหนี้เสีย และการ “prepare for the worst” จากความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นของสถานการณ์สินเชื่อรายย่อยจำนวนมหาศาลเหล่านี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo