Business

‘ท่องเที่ยวไทย’ ส่อฟื้นหลังคลายล็อกดาวน์ แต่ยังห่างไกลจุดก่อนโควิด

ท่องเที่ยวไทย เริ่มฟื้นตัว แต่ภาพรวมยังห่างไกลจากช่วงก่อนล็อกดาวน์ หลังยังไม่เปิดรับต่างชาติ เผยจังหวัดท่องเที่ยว ใกล้กรุงเทพ ฟื้นเร็วกว่า

EIC รายงานวิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุด ของการ ท่องเที่ยวไทย โดยใช้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวของทางการ และ high frequency data พบว่า การท่องเที่ยวในประเทศ เริ่มฟื้นตัวได้บ้าง โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่ใกล้กรุงเทพฯ แต่ในภาพรวมยังคงต่ำกว่าระดับช่วงก่อนการล็อกดาวน์มาก และยังมีแนวโน้มอ่อนไหว จากความเสี่ยงของการระบาดระลอกที่ 2 ของโควิด-19

ท่องเที่ยวไทย

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวรวม ทั้งไทยและต่างชาติในปี 2562 มีสัดส่วนสูงถึง 18.6% ของ GDP (รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 11.9% และจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 6.7% ของ GDP)

แต่ในปี 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้มีการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ภาคการท่องเที่ยวของไทย จึงต้องหันมาพึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล

จากข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในปี 2562 พบว่า กว่า 49.5% ของครัวเรือนที่มีรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวเป็นครัวเรือนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมกันเป็นสัดส่วนถึง 63.8% ของรายจ่ายท่องเที่ยวทั้งหมดของครัวเรือนไทย

จากการวิเคราะห์ของ EIC พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

EIC ประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวยังคงอยู่ในภาวะซบเซา แม้เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศหลังการผ่อนคลายมาตรการ lockdown โดยมีปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่

ต่างชาติหาย

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป ยังไม่กลับมา

สาเหตุสำคัญที่ภาคการท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับไปจุดเดิมได้ก็คือ การหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งสร้างรายได้ถึง 60.3% ของรายได้นักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2562 ทั้งนี้แม้ว่าจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ไทยจะไม่มีผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ที่ติดเชื้อจากภายในประเทศติดต่อกันถึง 5 เดือนแล้ว

แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก จนถึงเดือนสิงหาคมยังมีความไม่แน่นอนสูง เป็นสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไทย ยังไม่เปิดรับการเดินทางจากต่างชาติ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติลดลงเหลือศูนย์นับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญในการฟื้นตัว

  • การหันมาพึ่งพาจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยทดแทนยังทำได้ไม่เต็มศักยภาพมากนัก

แม้จะมีการฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ มาบ้างอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ปริมาณการท่องเที่ยวโดยคนไทย ก็ยังต่ำกว่าเดิมอยู่พอสมควร สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทย ในเดือนกรกฎาคมปี 2563 ที่มีการเพิ่มขึ้นมาบางส่วน จากช่วงมาตรการ ล็อกดาวน์ แต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับในปีก่อนหน้าถึง -27.1% แม้ว่าจะมีช่วงวันหยุดยาวเพิ่มเติมเข้ามาช่วยในปีนี้ก็ตาม อีกทั้งจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทย ก็ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนมาตรการ ล็อกดาวน์

ไทยเริ่มมา

  • การฟื้นตัวด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ใช้จ่ายต่อคนน้อยกว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่มากถือเป็นอีกความท้าทายสำคัญ

จากข้อมูลปี 2561 รายจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อคนต่อวัน สูงกว่านักท่องเที่ยวไทยถึง 2.1 เท่า และสูงกว่าในทุกหมวดการใช้จ่าย โดยเฉพาะหมวดที่พัก โดยค่าใช้จ่ายโดยรวมเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวคนไทยอยู่ที่ 2,866 บาทต่อคนต่อวัน ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะใช้จ่ายอยู่ที่ 6,039 บาทต่อคนต่อวัน

ดังนั้น การจะฟื้นภาคการท่องเที่ยว ด้วยการใช้จ่ายของคนไทยเพียงกลุ่มเดียว อาจต้องมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มากกว่าเดิมมาก หรือต้องเพิ่มการใช้จ่ายต่อคนจากเดิมอีกมาก ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา

  • การเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวโดยคนไทยหลัง ล็อกดาวน์ ยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่

เมื่อพิจารณาเฉพาะเพียงการท่องเที่ยวโดยคนไทย ในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ จังหวัดในประเทศไทย ที่มีจำนวนห้องพักโรงแรมต่อจำนวนประชากรสูงสุด 15 จังหวัดแรก ไม่รวมกรุงเทพฯ โดยใช้ข้อมูลผู้เยี่ยมเยือนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและข้อมูล Facebook Movement Range พบลักษณะของการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโดยคนไทยดังนี้

จังหวัดใกล้กรุง

จังหวัดท่องเที่ยวที่มีระยะทางใกล้กรุงเทพฯ จะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เยี่ยมเยือน หลังการผ่อนคลายล็อกดาวน์ เทียบช่วงก่อนหน้าล็อกดาวน์ ที่สูงกว่าจังหวัดท่องเที่ยวที่ไกลกว่า ทั้งนี้เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และยังสอดคล้องกับมุมมองที่คนไทย ยังเลือกการเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่าเครื่องบิน จากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ ลักษณะความสัมพันธ์ดังกล่าว ยังอาจสะท้อนถึงผลของกำลังซื้อ ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะการท่องเที่ยวจังหวัดที่ไกล จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงกว่า โดยกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยว ที่ใช้ระยะเวลาขับรถไม่เกิน 4 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี เพชรบุรี และชลบุรี มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เยี่ยมเยือนสูงกว่าจังหวัดที่ไกลกว่าอย่างมีนัย

ทั้งนี้ EIC ยังพบอีกว่า ความแตกต่างของการไปเที่ยวของคนไทย ในจังหวัดใกล้และไกลกรุงเทพฯ ในช่วงวันหยุดยาวในปีนี้มีความเด่นชัดมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาตามเหตุผลที่ได้กล่าวไป

เฟซบุ๊ก

เมื่อพิจารณากิจกรรมการเดินทางในช่วงวันหยุดยาว ได้แก่ ช่วงวันที่ 4-7 กรกฎาคม และ 25-28 กรกฎาคม โดยใช้ข้อมูล Facebook Movement Range ก็พบลักษณะที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ดังกล่าวเช่นกัน โดยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเมืองท่องเที่ยวที่ใกล้กรุงเทพฯ ได้แก่ หัวหิน และเมืองที่ไกลกรุงเทพฯ ได้แก่ ภูเก็ต ข้อมูลบ่งชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของการเดินทางในเมืองหัวหินนั้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของจังหวัดท่องเที่ยวโดยรวม

ขณะที่กิจกรรมการเดินทางในภูเก็ตนั้น อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมาก และยังไม่กลับไปเท่าช่วงก่อนหน้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ การหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย ไม่ค่อยไปท่องเที่ยว

EIC มองว่า การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ โควิด-19 ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ต่อภาคการท่องเที่ยวในระยะข้างหน้า เพราะคนไทยมีแนวโน้มอ่อนไหวต่อความเสี่ยงดังกล่าว

เมื่อพิจารณาจากกรณีศึกษาของจังหวัดระยอง ที่พบผู้ติดเชื้อที่เดินทางออกนอกพื้นที่กักตัวที่รัฐจัดไว้ให้ ส่งผลให้กิจกรรมการเดินทางเมื่อวัดจากข้อมูล Facebook Movement Range ภายในจังหวัดลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศหลังวันที่พบผู้ติดเชื้อ (10 กรกฎาคม 2563) ส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการควบคุมโรคที่กลับมาเข้มงวดในพื้นที่อีกครั้ง ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบทันทีโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร

ท่องเที่ยวเหงา ๒๐๐๘๑๑ 0

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้จังหวัดระยองต้องใช้เวลาราว 1 เดือน ในการฟื้นตัวให้เข้าสู่ระดับก่อนมีการระบาดระลอกใหม่ ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นทั้งจากภาครัฐและท้องถิ่นผ่านการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน และงานเทศกาลอาหารอร่อย เป็นต้น

นอกจากนี้ ความกังวลต่อการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ยังมีส่วนทำให้การเปิดประเทศถูกเลื่อนออกไป ซึ่งกระทบกับภาคการท่องเที่ยวในภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่เพียงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ปัจจัยดังกล่าว จึงเป็นความเสี่ยงที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอ เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวรวมถึงเศรษฐกิจ
ในภาพรวมฟื้นกลับมาได้โดยเร็ว

EIC มองว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ และแผนการตลาด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยของผู้ประกอบการ จะเป็นกุญแจสำคัญในการประคับประคองภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่ยังต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก

จากข้อมูลจะเห็นว่า ทั้งในแง่ของปริมาณและการใช้จ่ายของคนไทย ยังอยู่ในระดับไม่สูง และยังไม่ได้มีการกระจายตัวอย่างทั่วถึง ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกัน เพื่อทำความเข้าใจในอุปสรรคในการท่องเที่ยวของคนไทย และหาทางแก้ไข

ตัวอย่างเช่น การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยจากการแพร่ระบาด การสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยเฉพาะค่าโดยสารเครื่องบินที่มีราคาสูงเพิ่มเติม การลดความยุ่งยากซับซ้อนในการเข้าร่วมและใช้สิทธิ์ตามมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ไปจนถึงการสนับสนุนการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในด้านอื่น ๆ เป็นต้น

ในส่วนของผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวที่อยู่ในจังหวัด ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติสูง อาจต้องมีแผนการตลาด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทย ให้เดินทางและใช้จ่ายมากขึ้น ควบคู่กันไปด้วย โดยมีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่นิยมเที่ยวในประเทศ และกลุ่มที่นิยมเที่ยวต่างประเทศ แต่หันมาท่องเที่ยวในประเทศในปีนี้ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ประกอบการจะจัดทำโปรโมชันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยกลุ่มนี้เพิ่มเติม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo