Business

ซีพีเอฟ เปิดรายได้ 6 เดือนปี 63 กำไรพุ่ง 45% ทะลุ 1.2 หมื่นล้าน

ซีพีเอฟ รายงาน กำไรช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 พุ่ง 45%  ที่ 12,139 ล้านบาท พร้อมประกาศเงินปันผลระหว่างกาล 0.40 บาทต่อหุ้น มั่นใจผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังดีต่อเนื่อง 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” รายงานกำไรสุทธิรอบระยะเวลา 6 เดือนแรกปี 2563 จำนวน 12,139 ล้านบาท เติบโต 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

S 15499427

ปัจจัยหนุนการเติบโตหลัก มาจากภาวะการขาดแคลนสุกรที่สืบเนื่องมาจากการระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) ในเอเชีย และผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทย ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ

ซีพีเอฟ ผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และอาหารภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจใน 17 ประเทศ และส่งออกไปมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก รายงานรายได้จากการขาย 6 เดือนแรกของปี 2563 จำนวน 281,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9%

รายได้จากการขายของกิจการในต่างประเทศจำนวน 16 ประเทศเติบโต 12% และกิจการประเทศไทยเติบโต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้รายได้จากการขายของกิจการต่างประเทศมีสัดส่วนอยู่ที่ 69% และรายได้จากการขายของกิจการประเทศไทย ทั้งขายในประเทศ และส่งออกมีสัดส่วน 31% ของรายได้จากการขายรวม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร กล่าวถึงผลประกอบการที่ดีขึ้นในปีนี้ว่า ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของกิจการในต่างประเทศ ที่ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

ฟาร์มหมู

ในช่วงปีนี้มีปัจจัยสำคัญมาจาก การขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเวียดนาม เนื่องจากการระบาดของโรค ASF โดยมองว่า ภาวะขาดตลาดดังกล่าวอาจจะยังคงต่อเนื่อง จากการที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค และการลงทุนในการเลี้ยงสุกร มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น จากการต้องมีระบบการป้องกันทางชีวภาพ และการบริหารจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวดขึ้น

สำหรับผลกระทบจากโรคระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และกำลังซื้อที่ลดลง ธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าของซีพีเอฟ เป็นสินค้าจำเป็นในการยังชีพ และบริษัทได้มีการขับเคลื่อนกลุยุทธ์ ด้านการนำเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น พร้อมไปกับปรับรูปแบบการทำงาน และการขาย ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้ ธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทย มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมาก จากประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไร ปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นายประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติม ถึงผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้ว่า บริษัทน่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง ปีนี้น่าจะเป็นปีที่มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยหลัก คือ ภาวะขาดแคลนสุกรในภูมิภาค ที่ส่งผลให้ราคาตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน

ทั้งความสามารถในการทำกำไร ของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้ง การเติบโตของธุรกิจ จากการเพิ่มมูลค่า และการลงทุน ทั้งยังคาดว่าแนวโน้มการบริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา

img2

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (13 ส.ค.) ยังมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปีนี้ ในอัตราหุ้นละ 40 สตางค์ โดยจะทำกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 สิงหาคม) และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 กันยายนนี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo