Business

ธปท. หวั่นโควิดระบาดรอบสอง ซัดเศรษฐกิจไทยดิ่งสู่จุดต่ำสุดอีกรอบ

ธปท. หวั่นโควิดระบาดรอบสอง ชี้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงดิ่งต่ำสุดอีกรอบ ถ้าต้องกลับไปล็อกดาวน์ ชัตดาวน์กิจกรรมเศรษฐกิจอีกรอบ หลังลงต่ำสุดในไตรมาส 2

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.หวั่นโควิดระบาดรอบสอง หากเกิดเป็น เวฟใหญ่ แล้วต้องกลับไปล็อกดาวน์ และชัตดาวน์ อีกรอบ ไตรมาส 2/63 ก็อาจจะไม่ใช่ไตรมาสที่เป็นจุดต่ำสุดแล้ว อาจจะเป็นไตรมาส 3/63 หรือไตรมาส 4/63 ก็เป็นได้

ธปท. หวั่นโควิดระบาดรอบสอง

จากประมาณการเศรษฐกิจของ ธปท.ที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะลดลงไปติดลบ 8% มองว่ายังมีความเสี่ยงด้านต่ำ ที่เศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความเสี่ยง ของการกลับมาแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสองในประเทศ ที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้เพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม หากมีการกลับมาแพร่ระบาดโควิด-19 ในรอบสอง มองว่าจะเป็นการแพร่ระบาดที่เล็ก และในวงจำกัด เช่น การกลับมาแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสองในประเทศจีน และญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้เพราะ หากมีผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 20-30 คน/วัน มองว่าศักยภาพของการแพทย์ไทย ยังคงรองรับได้ และสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ง่าย ทำให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าไปต่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง

“ธปท.มองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/63 และจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 เวฟ 2 เพราะยังไม่รู้ว่าถ้ามาอีกรอบ จะมาเป็นเวฟเล็ก หรือใหญ่”นายดอน กล่าว

ขณะเดียวกัน ธปท.ยังมั่นใจว่ามีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจไทยเพียงพอ หากเศรษฐกิจไทยไหลลงลึกเพิ่มมากขึ้น และหากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสอง อัตราดอกเบี้ยนยโบาย ยังคงมีช่องว่างให้ลดลงได้อีก ขณะที่ กนง.มองว่าแนวโน้มการค่อย ๆ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จะกลับมาในครึ่งปีหลังนี้

ดอน นาครทรรพ
ดอน นาครทรรพ

นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีช่องว่างในการกู้เงิน ได้เพิ่มถึงเพดานหนี้สาธารณะที่ 60% ของจีดีพี หากเกิดการแพร่ะบาดโควิด-19 รอบสองที่เป็นเวฟใหญ่ และทำให้วงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่นำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก ไม่เพียงพอ ทำให้ภาครัฐ ยังสามารถกู้เงินเพิ่มได้ เพื่อมาช่วยกระตุ้น และประคองเศรษฐกิจไทย

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อของไทยนั้น แม้เงินเฟ้อจะติดลบต่อเนื่องกันมา 4 เดือน แต่มองว่า ประเทศไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากการเข้าสู่ภาวะเงินฝืดนั้น อัตราเงินเฟ้อจะต้องติดลบนานต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี เช่นในปี 2558-2559 ที่อัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 14 เดือน

ขณะที่แนวโน้มราคาสินค้าต่างๆ ยังไม่เห็นการปรับตัวลดลงที่กระจัดกระจาย ในหลากหลายกลุ่มสินค้า แต่จะมีแนวโน้มลดลงเพียงราคาน้ำมัน ที่เป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบของโลก จึงทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด

พร้อมกันนี้ ธปท.มองว่าแนวโน้ม NPL คงจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน จากปัจจัยโควิด-19 แต่ความสามารถในการรองรับหนี้เสีย ของระบบธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีความสามารถสูง และระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีเสถียรภาพ เพราะมีเงินกองทุนรองรับ ในระดับที่สูงถึง 18-19% มากกว่าเกณฑ์ของ ธปท.ที่ 12% ทำให้การปรับเพิ่มขึ้นของ NPL จากระดับ 3% ในปัจจุบันที่ถือว่าต่ำมาก มาสู่ระดับ 4-5% ในระยะต่อไป จะยังสามารถรองรับได้อย่างมีศักยภาพ

นายดอนกล่าวว่า ธปท.ยังคงเร่งดำเนินการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในครั้งนี้ อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่วงเงินกู้ซอฟท์โลน 5 แสนล้านบาท มีการปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างล่าช้า โดยปัจจุบัน สามารถปล่อยได้เพียง 1 แสนล้านบาท เนื่องจากความกังวลและความไม่มั่นใจ ของธนาคารพาณิชย์ ที่ยังกังวลต่อความไม่แน่นอน ของปัจจัยต่างๆ และ NPL

สำหรับ ธปท.ได้เร่งเจรจากับภาครัฐและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะใช้กลไกของภาครัฐ เข้ามาเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่นใจ ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ให้กับผู้ประกอบการได้เร็วมากขึ้น ผ่านการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หลังจากระยะเวลาการกู้ 2 ปีไปแล้ว เพื่อทำให้ธนาคารพาณิชย์มั่นใจ ในการปล่อยกู้ซอฟท์โลน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้เร็วขึ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo