Business

6 ชมรมคราฟท์เบียร์ ร้องทุกข์ สธ. โดนไล่จับออนไลน์กว่า 400 ราย

6 ชมรมคราฟท์เบียร์ ยื่นจดหมายร้องเรียนคณะกรรมาธิการสาธารณสุข โพสต์ภาพเบียร์หาทางรอดช่วงโควิด กลับถูกปรับซ้ำเติมหนัก

นายณิกษ์ อนุมานราชธน ผู้ก่อตั้งบริษัท VV spirits ตัวแทนจากฝั่งผู้จำหน่ายเครื่องดื่มคอกเทล  เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลออกมาตรการผ่อนปรน อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะซื้อกลับบ้านเท่านั้น เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม และผู้นำเข้า กลับมาเปิดกิจการตามปกติ

6 ชมรมคราฟท์เบียร์

นอกจากนี้ ยังได้บอกกล่าวถึงการกลับมาดำเนินธุรกิจผ่านทางสื่อออนไลน์ เพื่อแจ้งกับผู้บริโภคว่าจำหน่ายสินค้าได้แล้วและปัจจุบันมีสินค้าใดจำหน่ายบ้าง หวังให้มีลูกค้ากลับมาหลังจากปิดร้านค้าไปมากกว่า 1 เดือน

ที่ผ่านมา การสั่งปิดกิจการชั่วคราวของภาครัฐ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารที่มีสต็อคสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอายุสั้น เช่น คราฟท์เบียร์ และไวน์องุ่น ได้รับผลกระทบเพราะสินค้าหมดอายุในช่วงวันห้ามจำหน่าย ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นมิอาจทวงคืนหรือขอรับการเยียวยาจากใครได้

ดังนั้น เมื่อมีการอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบกลับบ้านได้ จึงมีผู้ประกอบการหลายร้านที่พยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ใช้สื่อออนไลน์สื่อสารกับผู้บริโภคให้ทราบว่าร้านเปิดดำเนินการและมีสินค้าจำหน่าย เช่น การเขียนข้อความและแสดงรูปภาพผลิตภัณฑ์ ในเฟสบุ๊คแฟนเพจร้าน กลุ่มเฟซบุ๊ก หรือแม้แต่ในโปรไฟล์ส่วนตัวของเจ้าของกิจการเอง

อย่างไรก็ตาม การโพสต์บอกลูกค้า กลับเป็นช่องโหว่ให้เจ้าหน้าที่รัฐและคนบางกลุ่มทำการแจ้งจับ และออกหมายเรียกในข้อหา มีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดฐานโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามมาตรา 32แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.๒๕๕๑

จนถึงขณะนี้ กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร นักวิจารณ์เครื่องดื่ม ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้รับหมายเรียกแล้วกว่า 400 ราย โดยแต่ละรายถูกเรียกปรับที่ 50,000-500,000 บาท นับเป็นบทลงโทษที่สูงยิ่งกว่าคดีอุกฉกรรจ์ เสมือนเหยียบย่ำซ้ำเติมคนทำมาหากินในสภาวะเศรษฐกิจ ยุคโควิด-19

“เรามาถึงจุดที่คนที่เกี่ยวข้องกับสุรา ถูกกระทำไม่ต่างอะไรจากคนที่ขายยาเสพติด และดูเหมือนจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ”

ชมรมคราฟท์เบียร์

ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงนี้ที่ทุกกิจการต่างต้องเผชิญความยากลำบาก แบกปากท้องของพนักงานลูกจ้าง ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เราคือบริษัทจดทะบียน ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศที่อนุญาตให้จำหน่ายเป็นการค้าเสรี มีการเสียภาษีถูกต้อง แต่กลับต้องเจอกฎหมายที่เอาผิดซ้ำซ้อน เอาเปรียบประชาชนและคนทำธุรกิจ

ด้านนายศุภพงษ์ พรึงลำภู ตัวแทนจาก 6 ชมรมคราฟท์เบียร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการเข้าใจในความห่วงใยสังคมของเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อพิจารณาโทษปรับที่รุนแรงถึง 500,000บาท จำคุก 1ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ในการมาบังคับใช้กับการใช้ชีวิตปกติของคนทั่วไป เช่น การถ่ายรูป หรือการรีวิว การให้ข้อมูล ด้วยคำว่า “ผู้ใด” ตามมาตรา32 นี้ ค่อนข้างเป็นการควบคุมและละเมิดสิทธิส่วนบุคคลมากเกินไป

ขณะเดียวกัน อยากให้เข้าใจตรงกันว่า สุราเป็นสินค้าควบคุมมีการจัดเก็บภาษีและมีกฎหมายห้ามมากมายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอายุผู้ซื้อ พื้นที่การขาย และระยะเวลาขาย ฯลฯ การบังคับใช้ พรบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตรา 32ในลักษณะแบบนี้ถือว่าซ้ำซ้อน มีแต่จะซ้ำเติมผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สังคมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมากจากช่วงเวลาที่ออกกฏหมายนี้มา

ดังนั้น ตัวแทนชมรมผู้ประกอบการเกี่ยวกับคราฟท์เบียร์ และนักวิจารณ์เบียร์ทางเลือก รวม 6 ชมรม จึงได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4 มิถุนายน 2563เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภาแห่งใหม่ ถนนสามเสน ชี้แจงเหตุผล 7 ประการที่เห็นว่า มาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีข้อความไม่ชัดเจน ทำให้มีการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่เกินจำเป็น มีอัตราค่าปรับสูงเกินไป มีการจัดสรรเป็นเงินรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ ยังเป็นการกีดกันทางการค้ามิให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ที่มีศักยภาพในการจ่ายค่าปรับมากกว่า และเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ได้รับความยากลำบากในการประกอบธุรกิจในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ตลอดจนละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มทางเลือกโดยสุจริตและไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน มีความซ้ำซ้อนในการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น การจัดโซนนิ่ง การจำกัดระยะเวลาขาย และห้ามจำหน่ายแก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 20ปี เป็นต้น

สำหรับภาคประชาชน ได้ร่วมกันขับเคลื่อนแคมเปญ หยุดทำร้ายประชาชน ยกเลิก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ผ่าน https://www.change.org/ ซึ่งในเวลาเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็มีผู้ร่วมลงชื่อเข้าร่วมนับพันราย และคาดว่าจะมีผู้ให้การสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ

Avatar photo